โตเกียว3
Haneda – Hamamatsucho st. – Daimon st. – Ningyocho st.
26 มีนาคม 2556 ยังอยู่ในวันที่สองของการเดินทาง
ในวันนี้ เราเลือกนั่งโตเกียวโมโนเรล จาก ฮาเนดะ
ไปลงสุดสายที่สถานี Hamamatsucho
แล้วเปลี่ยนสายเพื่อไปสถานี Daimon
ต่อไปยัง สถานี Ningyocho
ก็เป็นอันเสร็จ (เห็นมั้ย เปลี่ยนหลายต่อมาก แต่สนุกดี)
.
อย่างที่บอกว่า สอบปฏิบัติ มันต้องมีให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าตลอด
ซึ่งปัญหาของเรา มันมาเกิดตอนอยู่สถานี Daimon ที่จะไปลง Ningyocho
เราก็รู้ว่า เวลาดูสายรถไฟ ว่าเราจะต้องขึ้นคันไหน
ก็แค่ดูว่าสายสีนั้นมันไปสุดที่สถานีชื่ออะไร เป็นสายชื่อว่าอะไร
ก็เดินตามป้ายอันนั้น ก็เหมือนรถไฟฟ้า BTS บ้านเราแหล่ะ ไม่ยากๆ
เราก็นั่งรอ จ้องแต่คำว่า Oshiage เพราะจะไปทางนั้น
1 คันผ่านมา อันนี้ไม่เห็นเขียน Oshiage เลยนี่ แต่เขียนเป็นสถานี่ที่เราไม่รู้จัก
2 คันผ่านไป จนไม่นับแล้วว่ากี่คัน
แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมรถไฟมาที คนก็ขึ้นกันเกลี้ยงไม่เหลือใครเลย
เหลือแต่กะเหรี่ยงลากกระเป๋าอยู่ 2 คน
เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ขึ้นถูกจุดหรือเปล่า
ก็เลยเดินลากกระเป๋าไปๆมาๆ ดูแล้วดูอีก
ก็น่าจะเป็นชานชาลาอันนี้แหล่ะ เราก็เลยตัดสินใจว่า
ถ้ารถไฟมาใหม่ ไม่ว่าจะเขียนอะไร ก็จะขึ้นๆไปแหล่ะ
พอได้ขึ้น ก็พยายามมองแผนที่ ที่ติดอยู่ตรงประตูทางเข้ารถไฟ
โอ้โห…มันยุ่งเหยิง วุ่นวาย จนตาลายไปหมด
เราเลยเอาแผนที่ที่เราพกมา ออกมาดูแทน
แล้วก็ดูที่ป้าย แล้วก็ฟังที่ประกาศด้วย ว่าถึงสถานีไหน
พอมาเทียบกันก็ไปทางเดียวกันนะ ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนว่าไป Oshiage
สถานีต่อๆไปก็เป็นเส้นเดียวกับในแผนที่เมโทรเลย
จนกระทั่ง มาถึงบางอ้อว่า…
รถไฟ Local มันก็วิ่งเส้นเดียวกับเมโทร หรือเรียกว่า…
ใช้รถไฟคันเดียวกันนั่นเอง ปล่อยให้งง และหลงอยู่ตั้งนาน
ถึงสถานี Ningyocho
พอมาถึงสถานี Ningyocho เราได้เตรียมหาข้อมูลมาเรียบร้อยแล้วว่า
ประตูที่ใกล้โรงแรมที่สุดคือ Gate 5 เราก็แค่ดูป้ายบอกทาง ไปยัง G5 เท่านั้น
ง่ายจะตาย แต่ลืมนึกถึงสัมภาระ ที่ต้องลากติดตัวมาด้วย นึกว่ามีบันไดเลื่อน
พอเจอทางออก ถึงกับชะงัก เพราะเป็นบันไดธรรมดา ไม่ใช่บันไดเลื่อน
เลยต้องแบกขึ้นไปเอง เหตุการณ์นี้ทำให้ทริปนี้ หมดสนุกไปเกือบตลอดการเที่ยว
เพราะข้อเท้าพลิก ปวดแขน ปวดขา ไปหมด
เดินแบกกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ถึงพื้นดินซะที
พอในที่สุดก็เห็นแสงสว่าง จากทางออกจนได้ ดีใจแทบแย่
พอออกมาได้ ก็หยิบแผนที่ที่ปริ๊นท์ออกมาดู หมุนไปหมุนมาหลายรอบ
ถึงกับต้องไปเทียบกับแผนที่ ที่ติดให้บริการอยู่หน้าทางออกสถานี
จะด้วยความที่อ่านแผนที่ไม่เก่ง หรือยังไงก็ช่าง แต่มันงง
ว่าไอ้สี่แยกที่เห็นตรงหน้า มันต้องไปซ้ายหรือขวากันแน่
เราลากกระเป๋าไปได้ 3 เมตร ก็หันกลับ เดินไปอีกทางอีก 3 เมตร
ก็หันกลับด้วยความไม่แน่ใจอีก หมุนแผนที่ไปมาอีกหลายรอบ
จนกระทั่งมีผู้ชายสูงวัย เข้ามาอย่างกระตือรือร้น ที่จะช่วยอย่างเต็มที่
เหมือนเขากระหายอยากตอบมาก
เราเห็นดังนั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธหน้าตาซื่อๆของเขาได้
จึงทำตามขั้นตอนที่ฝึกมาอย่างไม่จำเป็นนัก ด้วยคำว่า ซึมิมาเซ็น
เพราะจริงๆแล้ว มันไม่ต้องก็ได้ เพราะเขายื่นหน้ามา จนถ้าไม่ถามก็เสียมารยาทแล้ว
หน้าตาชายผู้นั้นดูเป็นมิตร เหมือนเจอกันบ่อยๆในซีรี่ย์ญี่ปุ่น
I want to go this road (เป็นไง ภาษาแบบว่าทื่อๆเลย) แล้วชี้ไปที่แผนที่ในมือ
แต่ต้องยิ้มด้วยความนอบน้อมด้วย ไม่ใช่ถามแล้วหยิ่ง หน้าบึ้งเหมือนคนถูกถามเป็นเบ๊รับใช้คุณอย่างนั้นแหล่ะ
เขาก็หมุนแผนที่ไปมา เหมือนเราแหล่ะ แล้วอ่านตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นในแผนที่
แล้วก็ชี้มาทางถนนที่เรายืน แล้วก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นฉอดๆ
ชี้ที่ถนนจริงทีนึง ชี้ที่แผนที่2ที เป็นภาษาสากลที่เข้าใจง่ายๆ
เราก็ขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ โค้งเลียนแบบคนญี่ปุ่นให้สมกับการช่วยเหลือ ที่ไม่ต้องรอการเรียกร้อง
สุดท้ายเขาก็ถามว่า where are u from? เราก็บอกว่า Thailand เขาก็นึกๆอยู่
แล้วบอกว่า อ๋อ Taiwan เราชินซะแล้ว กับการที่คนถามประเทศของเรา แล้วไม่รู้จัก จะนึกว่าไต้หวันตลอด
เราก็บอกว่า bangkok ต้มยำกุ้ง พัทยา เชียงใหม่ พัฒพงษ์ (ยกที่ดังๆมาให้หมด)
เขาก็เลยร้อง อ๋ออออ… เสร็จปุ๊บเขาก็ยกมือไหว้ทันที
เรารู้สึกดีใจสุดๆ ที่มีคนรู้จักประเทศเรา จากการยกมือไหว้
ตกใจยกมือไหว้ตอบแทบไม่ทัน แล้วก็ลาจากกันด้วยรอยยิ้ม
เป็นการมาเยือนแผ่นดินญี่ปุ่นครั้งแรก ที่คิดว่าจะต้องพบกับการต้อนรับแบบนี้อยู่แล้ว
เพราะอ่านรีวิวคนอื่นมาเยอะ ศึกษาทางหนังสือก็แยะ
มีแต่คนเขียนว่า ไปไหนก็มีแต่คนเต็มใจช่วยเหลือ
ก่อนมาญี่ปุ่นก็กะว่าจะซื้อโปสการ์ดเมืองไทย ไปเผื่อแจกคนที่ช่วยเราด้วย
แต่ลืม ก็เลยไม่ได้มีแจก ประเทศญี่ปุ่นวันแรกนี่น่าประทับใจจริงๆ
เราเดินกันไปตามแผนที่ ก็เห็นแฟมมิลี่มาร์ท ก็แปลว่าถึงโรงแรมแล้ว
โรงแรมที่จองมาจากเวป booking.com
ไม่พูดเรื่องวิธีมากเพราะศึกษาเองได้ง่ายๆ ก็แล้วแต่เงินในกระเป๋าว่าหนักหรือเบา
โรงแรม ที่จองชื่อว่า Horidome Villa Hotel ในราคาเฉลี่ยประมาณ 2พันต้นๆ
จำนวน 10 คืน ห้องเล็กพออยู่ได้ เตียงพอไหว สมราคา แต่สะอาดมาก
ไม่มีกลิ่นอะไรเลย แถมแชมพูสระผม กับครีมนวดผมยังใช้ดี จนอยากจิ๊กกลับบ้านเลย
แต่มันเป็นขวดใหญ่ๆ เลยไม่กล้าเอากลับบ้าน ครีมอาบน้ำก็มีกลิ่นชาเขียวด้วย
หอมและใช้ดีกว่าที่ใช้ที่บ้านอีก มีที่เป่าผมของสำคัญที่สุดในทริปชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้
เพราะถ้าไม่มีเครื่องเป่าผม ผ้าที่ซักมา ปั่นแห้ง แต่มันไม่แห้ง
ต้องมาใช้เครื่องเป่าผมนี่แหล่ะ เป่าก่อนใส่อีก
เช็คอินเรียบร้อย แค่ยื่นพาสปอร์ต เราก็ปริ๊นท์ใบจองเผื่อด้วย ก็เลยยื่นไปด้วย
แต่เขาไม่เหลียวมองเลย ไม่กี่วินาที ก็ยื่นกุญแจให้ด้วยรอยยิ้มน่าประทับใจ
แล้วเก็บของรีบออกไปเที่ยวต่อ
ซึ่ง ณ ตอนนั้น เวลาก็ล่วงเลยไป ประมาณ บ่ายสามโมง แล้ว
ก่อนอื่นแวะกินข้าวแกงกะหรี่ โยชิโนยะ ข้างๆโรงแรมก่อน
อร่อยมากๆ หรือเพราะหิวก็ไม่รู้นะ
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ