โตเกียว11
31 มีนาคม 2556 วันที่เจ็ดของการเดินทาง
Shibamata – Nippori – Harajuku
วันนี้เป็นวันที่เที่ยวสนุกที่สุดอีกวันหนึ่ง เพราะรู้สึกอิสระเสรี
จะเปลี่ยนแผนไปไหน จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ และได้เห็นบรรยากาศนอกตัวเมือง
ดูเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา เรียกได้ว่าเป็นความสงบใกล้แค่เอื้อม
เพราะไปเที่ยวชม สุสานโชกุนคนสุดท้าย ซะด้วย (แค่ผ่านน่ะ)
เริ่มต้นออกจากโรงแรมแต่เช้า 8 โมง วันนี้ต้องใช้สมองอันน้อยนิด ที่ต้องมานั่งเล่นโยงเส้นรถไฟฟ้า
เพราะวันนี้เราจะใช้ Tokunai Pass หรือเราจะเรียกว่า one day pass
ใช้สำหรับขึ้นสาย JR แบบไม่อั้น(ในเมือง)
ทีนี้ด้วยความงก และอยากใช้บัตรให้คุ้ม จากที่พักไม่ได้ติดกับสถานี JR
จึงต้องเดินไกลกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก เพื่อไม่ให้บัตรที่ซื้อมา 710 เยน ต้องสูญเปล่า
เราได้คำนวนไว้เรียบร้อยแล้วว่า ต้องไปสายไหน ขึ้นที่ไหน และคำนวนแล้วว่ามัน คุ้มกว่าแน่นอน
แต่ถ้าคนไม่ได้คำนวณวางแผนมาก่อน หรือเดินทางไม่เยอะ ก็อาจไม่คุ้มก็ได้
จุดหมายแรกที่เราไปคือ shibamata
(จริงๆตั้งไว้จะไปพิพิธภัณฑ์แถว ryokoku ก่อน เพราะอยู่ใกล้ แต่เปลี่ยนใจ เพราะต้องเผื่อเวลาหลงอีก)
แต่เราสามารถใช้บัตร JR Tokunai Pass นี้ได้ถึงสถานี Kanamachi (เป็นสถานีที่อยู่ใกล้ๆกับ Shibamata)
ดังนั้นต้องเสียเพิ่มต่อไปอีก 1 สถานี ให้ถึง Shibamata
(ใครคิดจะเดินไป อย่าได้หวังเชียว เพราะตอนแรกไม่รู้นึกว่าใกล้ เลยจะเดินไป แต่บังเอิญเจ็บเท้าด้วย
แล้วดูแผนที่หน้าสถานีแล้ว ใครเดินก็บ้าพลังเกินไปแล้วล่ะ).
แต่จากโรงแรม กว่าจะไปถึงได้ ต้องเปลี่ยนสายหลายรอบ
ถ้าดูจากรูปด้านบน Bakurocho เป็นสถานี JR ที่ใกล้โรงแรมที่สุด
ก็ต้องไปลง Kinshicho แล้วก็ต่อไปลง Akihabara
แล้วต่อไป Ueno และต่อสายสีน้ำเงินไปลง Kita-senju
แล้วก็ต่อไป kanamachi แล้วก็ต่อไป shibamata
เฮ้อ…ถ้า งง ก็อย่าไปสนใจ ทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงละกัน
เป็นไง เห็นแล้วเหนื่อยเลยมั้ย จริงๆจากโรงแรม
ถ้ายอมเสียเงินนั่ง Metro ไปลง Ueno ก็คงง่ายกว่านี้
สงสัยเราชอบกินข้าวเหนียว เลยเหนียวหนึบหนับเลย
จริงๆอยากใช้บัตรให้คุ้มไง แล้วถ้ามองในแง่ดี
เราก็จะได้เห็นสถานี และสถานที่อื่นๆบ้างไง (จริงๆคืองกแหล่ะ)
เอาล่ะ เอาเป็นว่าไปถึงเหมือนกันแหล่ะนะ
เมื่อไปถึง Shibamata ที่เคยอ่านรีวิวป้าพนอจัน ก็เลยอยากไป
มีร้านขายขนมเยอะ บ้านเรือนก็ทรงโบราณ และเป็นสถานที่ ที่ถ่ายทำภาพยนตร์
ที่มีดารารุ่นพ่อแม่เราอันโด่งดังเสียด้วย เขาเรียก โทระซัง น่ะ (แต่ไม่รู้จักหรอก)
ประวัติความสำคัญอะไรก็ไม่ได้สนใจหรอก แค่สนใจตรงที่มีบ้านเรือนแบบโบราณ และมีแม่น้ำ
เดินออกมาจากสถานีรถไฟ ก็เจอทันทีไม่ต้องเดินหา
ไม่ต้องหลงกันอีก บรรยากาศที่นี่ ถ้าให้นึกถึงบ้านเรา
ก็คงเป็นตลาดร้อยปี ที่สุพรรณล่ะมั๊ง ขายขนมโบราณ บ้านทรงโบราณ
และที่สำคัญนักท่องเที่ยวที่เห็นๆนั้น มีแต่คนโบราณ หาหนุ่มสาวได้ยากยิ่ง
เรื่องขนม ก็น่ากินอยู่หรอก แต่ราคาแพงอยู่เหมือนกัน
เลยกินแค่หอมปากหอมคอ
เดินชมไปจนสุด ก็เดินหาแม่น้ำ
ที่เป็นเป้าหมายหลักของเรา ถึงจะกระโพลกกระเพลกหาตั้งนาน
เพราะมีเนินบังอยู่เลยไม่เห็น แต่ก็ไปถึงจนได้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย
เป็นสถานที่ที่สวยงามแบบเรียบง่าย เห็นแล้วอยากมีบ้านแถวนี้
มานั่งเล่นริมน้ำแบบนี้ แม้กระทั่งอากาศหนาวมากๆ แดดก็ไม่มี เมฆบังเต็มไปหมด
และที่สำคัญคือ มีหนุ่มๆใส่เสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียว มาวิ่งแบบไม่รู้หนาวเลย
บางคนก็ใส่ชุดวอล์มเฉยๆ มาเป็นกลุ่มบ้าง มาเดี่ยวบ้าง แต่วิ่งกันเยอะจริงๆ
ข้างทาง จะมีต้นซะกุระปลูกเป็นแนวยาว
ช่วงนั้นเราไปตอนซะกุระบานเต็มที่พอดี สีขาวโพลนเต็มไปหมด สวยจริงๆ
ไม่ค่อยมีคนเยอะ ไม่แย่งกันถ่ายรูปด้วย มันโรแมนติกมาก
แต่เราทำตัวอ่อนแอถึงขั้นเดินไม่ไหวเอาดื้อๆ ให้สามีเดินลงเนินไปคนเดียว
ไปถ่ายรูปริมแม่น้ำ
ส่วนเรานั่งมองหนุ่มๆวิ่งดีกว่า (นี่คือแผนชั่วเราเอง555)
บรรยากาศมันติดตาจริงๆ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด
เสียอย่างเดียวมันหนาวเข้ากระดูก (เป็นคนขี้หนาว)
เราดื่มด่ำกับที่นี่นานพอสมควร แต่ระหว่างแอ๊คชั่น
ตั้งท่าถ่ายรูปอยู่หลายรูป ก็เห็นผู้ชายที่ใส่เสื้อยืดแขนสั้น
มาวิ่งที่นี่ ยืนด้อมๆมองๆพวกเรา แล้วก็เดินมาทำท่าจะบอกว่าถ่ายรูปให้มั้ย
เราก็ตกใจว่าทำไมช่างใจดีแบบนี้ เราซึ้งในน้ำใจคนญี่ปุ่นจริงๆ
จึงได้รูปคู่ ถ่ายกับต้นซะกุระ มาอย่างไม่คาดหมาย
เราเดินดูบ้านเมืองแถวนั้น แล้วสงสัยว่า ทำไมไม่มีถังขยะ
จะหาที่ทิ้งทีนี่ยากมาก ต้องเก็บใส่กระเป๋าอยู่นาน พอเจอถังขยะที
อย่างกับจะกลัวมันหายไป ต้องรีบวิ่งเข้าใส่เพื่อไปทิ้งขยะ
รู้สึกมีความสุขกับที่นี่มากๆ ขอแนะนำการเดินเล่นในที่ท่องเที่ยว
โดยส่วนตัวแล้ว เส้นทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดิน เราก็เดินนะ
แต่เดินเร็วๆผ่านๆ แต่จะชอบออกนอกเส้นทาง
คือหาทางเดินที่ชาวบ้าน คนในพื้นที่เขาเดินกัน ไม่ใช่เส้นทางนักท่องเที่ยว
ออกนอกเส้นทางจนไปเจอ ร้านขายซูชิ ที่ราคาถูกมากๆ ร้านขายขนมอีก
จริงๆแล้ว ก็อยู่ด้านหลังสถานีรถไฟนี้เอง
แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เดินเข้า-ออกสถานี ทางเดียว ไม่ได้สำรวจว่ารอบๆมีอะไร
เราชอบมองหาร้านค้า ที่คนในพื้นที่เขาซื้อกินกัน มันจะถูกกว่าร้านที่ขายนักท่องเที่ยว
เราชอบร้านขนมร้านนึง มีลุงเป็นคนขายอยู่หน้าร้าน
มีป้าทำขนมอยู่ด้านใน ลุงถามเราเป็นภาษาญี่ปุ่นอะไรไม่รู้
เราไม่รู้เรื่องก็ ซอรี๊(sorry?) ไป พอเขาใส่ถุงมาให้ เราก็เอาถุงออก บอกไม่เอาถุง
ลุงเขาก็งงๆ คุณป้าด้านหลังก็บ่นลุงใหญ่เลย ดูจากสีหน้าแล้วไม่ได้หน้ากลัวหรอก
แต่ขำลุง ประมาณว่าดูเกรงใจภรรยาดีจัง นึกถึงซีรี่ย์ญี่ปุ่นเลย
เหมือนในหนังเลยฟังแบบซาวแทรค
ทุกร้านเลย แต่งตัวก็ต้องมี ผ้าขาวกันเปื้อน โพกหัว น่ารักอ่ะ
ถ้าเราเจอของถูก หรือไม่ถูกแต่ไม่แพง ก็จะแวะซื้อ
อย่างที่นี่เจอซูชิ กับขนม ก็ได้ติดมือกลับไป เป็นเสบียงคลัง
เอาไปกินตอนดึก หรือวันพรุ่งนี้ ทำให้ประหยัดค่าอาหาร
และได้กินของหลากหลายด้วย แต่ต้องร่อนเร่แบกเจ้าพวกนี้ไปนี่สิ
มาประเทศนี้ อะไรๆก็ดีไปหมดแหล่ะ
เสียอย่างเดียว อะไรๆก็แพงไปหมด เฮ้อ…
ไอ้ที่บอกว่าถูกๆน่ะ คือถูกกว่าร้านทั่วๆไปนะ แต่ยังไงมื้อนึงก็เกินร้อยอยู่ดี
เราย้อนกลับไป ที่สถานี Kanamachi เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายถัดไปคือ Nippori
แต่ก่อนหน้านั้น เราเจอร้านข้าวแกงกะหรี่ที่โปะด้วยโครอกเกะ
น่ากินดี ไม่แพงมาก ก็เลยลองกินดู เดินเข้าไปในร้าน
เห็นมีเครื่องหยอดเหรียญอยู่ แต่ก็ไม่ยากเลย มีรูปมีราคาบอกชัดเจน
ก็จิ้มๆ ใส่ตังค์ ตั๋วก็ออกมา แล้วค่อยไปยื่นให้พนักงาน นั่งรอ
แล้วก็ได้กิน มีตังค์ซะอย่าง อย่ากลัว
รสชาติแกงกะหรี่ที่นี่ อร่อยกันคนละแบบกับ Yoshinoya
แต่อย่างที่บอก ลิ้นเราเป็นพวกลิ้นจรเข้ ไม่รู้ลึกว่าของอร่อยต่างกันอย่างไร
รู้แต่ว่าอร่อย ส่วนของสามีสั่งแฮมเบิร์ก มีข้าวแยกต่างหาก ก็อร่อยใช้ได้ ราคาไม่แพง
แต่มันเป็นอะไรไม่รู้ คนอื่นจะเป็นมั้ยไม่รู้นะ เห็นอาหารญี่ปุ่นทีไร หิวทุกที
มันน่ากินทุกอย่างจริงๆ ทั้งการจัดแต่ง เมนูที่เห็นชัดเจน การแพคเกจ หรือจานที่ใส่
แค่เห็นแต่รูปก็อยากกินแล้ว คือทุกอย่างมันกระตุ้นให้อยากกินไปหมด ถ้าไม่มีสติคงจะกระเป๋าแฟ่บไปแล้ว
แต่เนื่องจากเราใช้ Day pass ขึ้นลงกี่รอบก็ได้ ใน1วัน
เราจึงเรียกการเที่ยวแบบนี้กันเองว่า ชะโงกทัวร์ ทางผ่านสถานีไหน
ที่ชื่อน่าดู (ดูจากชื่อเอาเลย) ชื่อไหนพอใจ ก็ออกไปชะโงกดูว่ามีอะไร
ถ้าน่าสนใจก็เดินเล่นแถวนั้น
ดูบ้านดูเมืองเฉยๆ เป็นการเที่ยวที่ชอบมากๆ เข้าออกตรอกซอกซอย
ได้เห็นสิ่งแปลกสำหรับเรา แต่ธรรมดาสำหรับคนแถวนั้น มันได้อารมณ์ดี
รวมถึงพวกร้านที่เสนอห้องเช่าอะไรพวกนี้ จะหยุดยืนดูนาน
อยากรู้ว่าห้องประมาณนี้ เขาจะมีรูปด้วย มันจะราคาต่อเดือนเท่าไหร่
มาต่อกันที่สถานี Nippori เพื่อเดินเล่นย่าน yanaka ginza
แต่ก็หลงอีกจนได้ แต่ไม่ซีเรียส เราชอบเดินเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว
ระแวกนั้นมีสุสานเต็มไปหมด แล้วก็มีสุสานของ ตระกูลโตกุกาวะ ด้วย
แต่บรรยากาศคล้ายๆที่ Ueno เพียงแต่มีสุสานล้อมรอบ
มีกลุ่มคนมานั่งกินนู่นนี่กัน ฮานามิ สังสรรค์กันใต้ต้นซะกุระ น่าสนุกอ่ะ
บรรยากาศดีมาก ไม่เหมือนสุสานเลย เหมือนสวนสาธารณะมากกว่า
ที่สำคัญมันสวยมาก ถ้าถามความชอบ เราชอบที่นี่มากกว่า Ueno อีกนะ
เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมาก และไม่มีของขายเกะกะ
เราเดินกันไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ ที่ปริ๊นมา และก็มีแผนที่ตามถนนบอกด้วย
ต่างกับที่เมืองไทยแม้จะมีแผนที่บอกเป็นบางจุด แต่ที่สงสัยคือ แผนที่ต่างๆ
จะมีคนมาดูหรือป่าวนี่สิ เพราะมันเขรอะสกปรก ดูไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าแตะ
แต่ที่ญี่ปุ่นมันสะอาด เหมือนมีคนมาปัดกวาดเช็ดถูประจำหรือป่าวไม่รู้นะ
หรือเป็นเพราะสภาพอากาศก็ไม่รู้
พื้นถนนก็ไม่มีหลุม ไม่มีท่อเปิด หรือแง้มเลย
ทำไมถนนเขาดูใหม่ เหมือนเพิ่งทำเลยนะ ถึงแม้จะไม่ค่อยเจอถังขยะ
แต่ถนนก็ไม่ค่อยมีขยะ (แต่ก็มีนะ ก็ต้องมีบ้างแหล่ะ)
คือโดยรวมมันสะอาดเว่อร์ จะบอกว่าสะอาดพอๆกับสิงคโปร์ได้มั้ย (ยกเว้นย่านเกลังนะ สกปรกมาก)
แต่ก็มีส่วนที่ไม่เห็นด้วยเลยคือ มีตู้หยอดเหรียญซื้อบุหรี่เกลื่อนเลย
บางร้านขายแต่บุหรี่ด้วยซ้ำ แต่อยากรู้จริงเลยว่า ที่หยอดเหรียญค่าที่จอดรถ มันใช้ยังไง
ยืนพิจารณาอยู่ตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจ ค่าที่จอดรถก็แพงซะด้วยสิ
ไม่รวยจริงอย่ามีเลยรถน่ะ ค่ารถอาจไม่แพงก็ได้นะ
เพราะผลิตเอง แต่ค่าที่จอดนี่ แพงกว่าค่ากินค่าอยู่ในเมืองไทยซะอีกนะนี่
อะไรๆก็หยอดเหรียญเกือบหมด ลดแรงงานคนดี
อีกหน่อยคงมีหยอดเหรียญปุ๊บ ข้าวแกงกะหรี่ออกมาเป็นจานเลยมั๊ง
ในที่สุดก็เห็นป้าย ตามที่อ่านรีวิวมาจนได้ แต่ที่แท้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก
เป็นแหล่งขายของกระจุกกระจิกทั่วไป แต่บรรยากาศเดินเล่น
ดูของสนุกเหมือนกัน ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมาก
มาเจอหนุ่มนั่งเล่นเครื่องดนตรีชนิดนึง ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่เพราะมาก
ฟังแล้วยังเคลิ้ม เหมือนอยู่ในหนังเลย ไม่ได้เปิดหมวกด้วยนะ นั่งเล่นเฉยๆ
เราออกจากสถานี Nippori ประมาณบ่าย 3โมง เพื่อไปต่อที่ shinjuku
เพื่อซื้อตั๋วไป Hakone เตรียมไว้ ไม่รู้จะเตรียมทำไม แต่เพื่อความอุ่นใจซื้อไว้ก่อนเลย
ในการขึ้นรถไฟฟ้า เราได้อ่านรีวิวของคนอื่นมาบ้างแล้วว่า
คนญี่ปุ่นเขาจะไม่ใช่ Ladyfirst ไม่ลุกให้ผู้หญิง ไม่ลุกให้เด็ก ไม่ลุกให้คนท้อง
ไม่ลุกให้คนอุ้มเด็ก แม้แต่คนแก่ก็ไม่มีลุกให้นั่งเลย
แต่เขาจะมีเก้าอี้สำหรับคนเหล่านี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว อยากนั่งก็ต้องไปนั่งที่ที่เตรียมไว้สิ
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่มีน้ำใจ แต่เพราะมีที่นั่งเฉพาะสำหรับกลุ่มนี้อยู่แล้ว
และสำหรับคนสูงอายุ จะเป็นการดูถูก หาว่าเขาแก่จนยืนไม่ไหว
เราก็ไม่ค่อยเชื่อนะ แหมคนแก่เดินมา จะไม่มีกะจิกกะใจลุกให้นั่งเลยหรอ
พอมาเห็นกับตาแล้ว ถึงเชื่อว่าเออมันจริงแฮะ ขนาดคนอุ้มเด็กทารก เขายังต้องยืนเลย
แล้วไม่มีทำตาอ้อนวอน หรือถือโทษโกรธคนนั่งเลยที่ไม่มีคนลุกให้
คนแก่ก็เหมือนกัน ยืนเฉยเลย ถ้ามีคนลุกให้ เขาอาจจะโกรธก็ได้นะ
ที่หาว่าดูถูกเขา ว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
แต่เราไม่ใช่ว่าอยากจะทำตามแบบนั้นหรอก เพราะคิดว่าที่ประเทศไทย
ยังมีความน่ารัก เรื่องความเมตตาอยู่มากกว่าเยอะ
แต่เราทั้งเจ็บเท้า เดินทั้งวัน จะได้นั่งก็แค่กินข้าว กับนั่งรถไฟเท่านั้น
ดังนั้นขอนั่งแช่ ไม่ลุกล่ะนะ มันจำเป็นจริงๆ ไม่งั้นขาเราคงอยู่ไม่รอดถึงวันสุดท้ายแน่
มาถึงสถานี Harajuku ตั้งใจอยากมาดูสาวๆ แต่งคอสเพล
แต่เดินหาอยู่ตั้งนานก็ไม่เจอ รวมถึงไม่เจอไอ้ซอยที่เขาเดินกันด้วย
ทั้งๆที่มันอยู่ใกล้สถานีนิดเดียว แต่เดินอ้อมไปไกลเลย
ย่านนี้ไม่ได้มีอะไรที่เราพิศวาสเลย ไม่ชอบแสงสี และตึกเยอะๆ
อยากมาดูคนอย่างเดียวเลย ของที่ขายก็ไม่มีอะไรที่สนใจ
ยกเว้นร้าน 105 เยน ที่ให้เวลากับที่นี่นานทีเดียว และนานเกินไปด้วย แต่ได้ของมาไม่กี่ชิ้นเอง
อ๊ะ เดินออกมาจากร้าน 105 เยน เจอแล้ว สาวๆแต่งชุดคอสเพลน่ารักๆ (เห็นด้านหลัง)
พอเดินมาด้านหน้า เอิ่ม…ก็น่ารักไปอีกแบบนะ แต่เกิดคาดเท่านั้นเอง
วันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่า ต้องกลับห้องเร็วๆ เพื่อรีบนอน
พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ไป Edo wonderland ที่ Nikko
เพราะซื้อตั๋วไว้และจอง Spacia รอบ 8 โมงเช้า
ในรีวิวหน้า จะมีเรื่องตลก ที่ไม่ตลกในสถานการณ์จริง แต่ย้อนกลับมามองแล้วมันก็รู้สึกขำ ให้อ่านกันนะคะ
เอาเป็นว่าเลิกตลกก่อน คืนนี้กินซูชิที่ซื้อมาจาก Shibamata
กล่องใหญ่ 490 เยน กล่องเล็ก 199 เยน ถือว่าถูกมากนะ
เมื่อเทียบกับซุปเปอร์มาเก็ตที่เดินมาหลายร้าน จะเรียกว่าถูกกว่าที่ท็อปในไทยก็ไม่ผิดนะ
ภูมิใจได้ของถูกและอร่อยมีไรมั้ย
ค่ากินวันนี้
ขนมโมจิชาเขียว ที่ Shibamata 120 เยน
ขนม sweet potato Shibamata 130 เยน
ดังโงะเขียวราดถั่วแดงกวน 150เยน
โครอคเกะ 2ชิ้น 98 เยน
(ร้านข้างหลังสถานีshibamata)
ซูชิ (ร้านข้างหลังสถานีshibamata) 490 เยน
ซูชิ (ร้านข้างหลังสถานีshibamata) 199 เยน
Hamburg Curry 390 เยน
Coroke Curry 350 เยน
น้ำมะม่วง 1ลิตร 128 เยน
รวม 2055 เยน
ซื้อกลับบ้าน
ซุปเปอร์มาเก็ตที่ Shibamata 498 เยน
ซุปเปอร์มาเก็ตที่ yanaka 433 เยน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ