เที่ยว Wachau
วันที่ 23 ของการเดินทาง วันนี้เป็นวันเดินทางไกล และโลภมากที่สุดวันหนึ่งค่ะ เพราะเราจะผ่านกันถึง 6 เมือง แต่เที่ยวจริงๆแค่ 3 เมืองเองค่ะ คือ Spitz – Dürnstein – Krems ซึ่งอยู่ในเขต Wachau พื้นที่ที่จัดว่ามีวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุด ตามแนวแม่น้ำดานูบ
วันนี้บอกเลยว่า พวกเรายกให้เป็นวันที่มีความสุขที่สุดของทริปเลยค่ะ
เส้นทางการเดินทางของพวกเราในวันนี้
รถไฟ : Melk –> St.Pölten (เปลี่ยนสาย)
รถไฟ : St.Pölten –> Krems (ฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์)
บัส : Krems —> Spitz (เที่ยว)
บัส : Spitz —> Dürnstein (เที่ยว)
บัส : Dürnstein –> Krems (เที่ยว)
รถไฟ : Krems –> Vienna (ค้าง)
ตั๋วที่ใช้
– Einfach-Raus-Ticket 2 คน 33 ยูโร
(อธิบายไปแล้วในตอน เที่ยว Melk – St. Polten)
– Wachau bus day ticket คนละ 10 ยูโร
ดูวิดีโอ จาก Melk ไป Spitz นั่งรถไฟ ต่อรถบัส Ep.101
ทำไมไม่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่ Melk
จริงๆจะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่ Melk ก็ได้นะคะ เพราะมีรถไฟจาก Melk ไป Vienna ได้ แต่ต้องแวะเปลี่ยนสายที่ St.Pölten ก่อน
ระยะเวลา :
Melk —> Vienna : ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง และต้องเปลี่ยนสายที่ St.Pölten
Krems —> Vienna : ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ต่อเดียวถึง
รถบัส : มีวิ่งจาก Melk ไป Krems ได้
สรุปแล้ว : จะเลือกวิธีไหนก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน เลือกทางไหนก็ได้ (เอาที่สบายใจ 555+ )
แผน A
ฝากกระเป๋า Melk แล้วนั่งบัส แวะตามหมู่บ้านรายทางต่างๆ ขึ้นไปถึง Krems
แล้วก็นั่งบัส กลับลงมาที่ Melk จากนั้นนั่งรถไฟไป Vienna
ข้อดี : ได้เดินหมู่บ้านเยอะดี
ข้อเสีย : ไม่รู้ว่ารอบรถมีน้อยหรือเปล่า หมดเร็วมั้ย
แผน B (เราเลือกแผนนี้)
ออกจาก Melk ไปฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์ Krems
นั่งบัสไป Spitz และ Dürnstein
แล้วกลับมา Krems นั่งรถไฟต่อเดียวถึง Vienna
ข้อดี : น่าจะใช้เวลาน้อยกว่า และได้อยู่ที่ Dürnstein ได้นาน
ข้อเสีย : เสียค่าฝากกระเป๋าล็อคเกอร์ (2.5 ยูโรเอง)
เที่ยว Spitz มีอะไรน่าเที่ยว
จริงๆแถวนี้ไม่ได้มี Attraction อะไรตื่นเต้นนะคะ เป็นหมู่บ้าน ไร่องุ่น ชิมไวน์ Spritzer
จุดเด่นมากก็คือ ซากปราสาท Hinterhaus เสียดายไม่มีเวลาปีนขึ้นไปดู
ที่มาลงจุดนี้เพราะอยากเห็นหมู่บ้านแค่นั้นเองค่ะ
บ้านไม่ได้เหมือนยุคกลางนะ แต่เหมือนบ้านชาวไร่รวยๆ มีฐานะ (ไม่รู้บ้านเขาถือว่ามีฐานะหรือเปล่านะ)
แปลกนะที่ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไร แต่ทำให้เราตื่นเต้นได้
อารมณ์เดินเล่นไปเรื่อย แบบไร้ผู้คน อย่างกับธีมพาร์คที่กำลังจะเจ๊ง
สินค้าที่ต้องซื้อกินให้ได้คือ Spritzer
เป็นการหมักองุ่น ให้เป็นไวน์ แต่ยังไม่ถึงจุดที่เป็นไวน์
คือเค้าจะหยุดการหมัก ไม่ให้มันมีแอลกอฮอล์มากเกินไป
รสชาติมันก็จะออกมาแบบเปรี้ยวๆ หวานๆ ไม่ขม อร่อยมาก
แล้วก็เอามาผสมกับโซดา อาจจะครึ่งๆ หรือสัดส่วนแล้วแต่คนชอบ
ราคาถูกๆที่พวกเราซื้อกินได้ก็ ขวดละ 0.79 ยูโร เท่านั้น (~32 บาท)
มีหลายแบบ หลายราคา ไปจนถึง 20 กว่า ยูโรเลย
สูตรนี้ทำให้พวกเราติดจนกลับมาแล้วก็ยังผสมไวน์กับโซดาเอาเองเลย
ดูวิดีโอ เที่ยว Spitz , แถบ Wachau ชิม Spritzer Ep.102
เที่ยว Dürnstein มีอะไรน่าเที่ยว
ที่นี่ก็คล้ายๆ Spitz เลยค่ะ แถมยังมีซากปราสาทเหมือนกันด้วย
ชื่อว่า ซากปราสาท Dürnstein
พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ของวัน (3 ชม.)ไปกับการไต่ขึ้นลง
และดื่มด่ำกับวิว ที่ขอยกให้เป็นสุดยอดความประทับใจของทริปนี้เลยค่ะ !!!
จริงๆถ้าเดินเล่นข้างล่างเฉยๆ ก็ตื่นเต้นแล้วนะคะ อารมณ์คล้ายๆ Spitz
แต่มันมาพีคก็ตอนได้ขึ้นไปที่ซากปราสาท ที่เป็นจุดที่สูงที่สุด
คือจุดสูงสุดจริงๆนะคะ ราวกับได้พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส 555+
จุดยืนด้านบน ยืนได้แค่ 2 คนก็หวาดเสียวจะตกแล้วค่ะ
วิวด้านบนคงบรรยายไม่ได้ ลองดูในวิดีโอที่รีวิวข้างล่างดูนะคะ
มันสุดยอดเหนือคำบรรยายจริงๆค่ะ
ดูวิดีโอ เที่ยว Dürnstein ซากปราสาทที่เราประทับใจที่สุด Ep.103
ล้มแผนล่องเรือ Wachau cruise
จริงๆแล้วตามแผนเดิมของพวกเรา จะต้องล่องเรือจาก Melk ไป Krems ซึ่งมีระยะทางกว่า 46 กม.
แต่ต้องใช้เวลาทั้งวันในการไป-กลับ และจากการตรวจสอบพยากรณ์อากาศแล้ว จะมีฝนตกทั้งวัน
อีกเหตุผลหนึ่ง มาจากประสบการณ์นั่งเรือที่ St. Wolfgang
ฝรั่งพากันแย่งที่นั่งกลางแจ้งกัน เราก็ไม่อยากไปนั่งแย่งเบียดกับเขา
ครั้นจะนั่งข้างในตลอดเส้นทาง ก็รู้สึกว่ามันน่าจะเบื่อ
เหมือนได้มองจากแม่น้ำเข้าสู่แผ่นดิน มองเห็นปราสาทจากไกลๆ
แต่ที่เราต้องการคือ อยากไปเดินในหมู่บ้าน อยากปีนขึ้นไปบนปราสาท แล้วมองลงมาเห็นวิวสวยๆจากที่สูงมากกว่า
ก็เลยคิดว่า นั่งเรือไม่น่าจะเหมาะกับพวกเรา แถมยังแพง ไม่คุ้มอีกด้วย
ราคาล่องเรือต่อคน แบบ One Way Trip 24 ยูโร Roundtrip 29 ยูโร
ในส่วนต่อไป เป็นข้อมูลประวัติ และความสำคัญ
ที่สรุปเฉพาะใจความสำคัญจากหนังสือชื่อ
“ท่องโลกศิลปวัฒนธรรม กับ เสรษฐวิทย์ เล่ม 3” ผู้เขียน เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
และหาข้อมูลจากวิกิพิเดียเพิ่มเติม
ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ พวกเราคงไม่คิดจะมาแถบนี้
ต้องขอบคุณจริงๆค่ะ ที่ได้มาเจอสถานที่ ที่พวกเราประทับใจที่สุดในทริปเลย
Wachau
แถบนั้นทั้งแถบ ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยที่สุด ของแม่น้ำดานูบเลยนะคะ
เพราะว่าเป็นหุบเขาสองข้างทาง ทำให้มีอากาศเย็นเหมาะแก่การปลูกองุ่น
แถมยังเป็นเส้นทางที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากๆด้วยค่ะ
ค.ศ.800 กษัตริย์ Charlelemagne ของพวกแฟรงค์(หรือฝรั่งเศสในปัจจุบัน)
ซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ได้มอบที่ดินแถวนี้ให้พระ ไว้ทำประโยชน์
พระก็เลยเอามาปลูกองุ่น เพื่อทำไวน์ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
(พระในศาสนาคริสต์ดื่มไวน์ได้)
ต่อมาราชวงศ์บาเบนเบิร์ก(ราชวงศ์แรกของออสเตรีย)
ก็ประกาศให้ Wachau เป็นพื้นที่อนุรักษ์เพื่อปลูกองุ่นทำไวน์ด้วย
ก็เลยทำให้ Wachau มีชื่อเสียงมากเรื่องไวน์
เป็นเรื่องปกติค่ะ ที่คนออสเตรียจะดื่มไวน์แบบผสมโซดา เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหาร
ชาวออสเตรีย จะเรียกเครื่องดื่มแบบนี้ว่า Spritzer
แต่คนออสเตรียเอง จะเรียกน้ำองุ่นว่า Most
คือ Most ถ้าหมักต่อ จะเป็นไวน์ใช่มั้ยคะ
แต่ออสเตรียนไม่ค่ะ เขาจะหยุดกลางคัน ก้ำกึ่ง
จะน้ำองุ่นก็ไม่ใช่ จะไวน์ก็ไม่เชิง
ทำให้มีแอลกอฮอล์น้อยกว่าไวน์ปกติ
เครื่องดื่มแบบนี้เรียกว่า Sturm
สรุปคือถ้าหมัก Sturm ต่อ ก็จะได้ไวน์ (Wine) นั่นเอง
ผลองุ่น —> Most(น้ำองุ่น) —> Sturm(ครึ่งไวน์ครึ่งน้ำองุ่น) —> Wine
Sturm + โซดา —> Spritzer
ภาษาชวนสับสน
คำว่า ไวน์ (Wine) ในภาษาอังกฤษจะมาจากคำว่า Vine ซึ่งแปลว่าเถาวัลย์
แล้วไวน์ส่วนใหญ่ก็มาจากองุ่นใช่มั้ยคะ ซึ่งมันก็เป็นเถาวัลย์ ที่เรียกว่า grapevine
แต่คำว่า Wine ในภาษาออสเตรีย จะเขียนว่า Wein หมายถึง grape(องุ่น)
แต่ชื่อเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ในออสเตรียจะเขียนว่า Wien
แต่ภาษาอังกฤษเขียนว่า Vienna
สรุป
ไวน์ = Wine = Wein
Wien = Vienna
Dürnestein
มาจากคำว่า “Duerrstein” หรือ “Dürrstein”
Duerr หรือ Dürr แปลว่า Dry
Stein แปลว่า หิน ในที่นี้หมายถึง ปราสาท (ปราสาทก็ทำด้วยหินใช่มั้ยคะ)
Dürnestein ก็แปลว่า ปราสาทแห้ง
ทำไมถึงแห้ง ก็เพราะว่ามันตั้งอยู่บนผู้เขาหินสูง เหนือแม่น้ำดานูบ ที่หินข้างล่างมันเปียกไงคะ
ว่าแต่มีปราสาทไหนอยู่ต่ำๆกันบ้างล่ะเนี่ยะ
หมู่บ้านนี้เป็น หมู่บ้านโบราณที่อยู่ริมแม่น้ำ และมีกำแพงโบราณล้อมรอบด้วย
ไปเห็นมาแล้ว มันสูงมาก น่าจะสูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นเลยค่ะ
แถมมีป้อมปราการด้วย รู้สึกได้ถึงยุคกลางเลย
ศาลาว่าการเมือง Dürnestein มีมาตั้งแต่ปี 1547 ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่เก่ามากๆ
แต่จริงๆ มีการกล่าวถึงเมือง Dürnestein ในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1192 มาแล้วนะคะ
พูดง่ายๆคือ ดังขึ้นมาได้เพราะมีสตอรี่หนึ่ง ที่พูดกันไปในแบบต่างๆ เช่น
แบบแรก
เริ่มจากช่วงสงครามครูเสด มีการเดินทางไปเยรูซาเล็ม
โดยมีจักรพรรดิ Friedrich I Barbarossa เป็นผู้นำทัพ
แต่คนนี้ก็อายุมากแล้วนะ แล้วก็บังเอิญสิ้นพระชนม์ระหว่างทางอีก
ก็เลยเกิดปัญหาขัดแย้งกัน ระหว่างกษัตริย์เมืองเล็กๆต่างๆ ที่ติดตามไปด้วย
โดยเฉพาะ กษัตริย์ Richard I The Lionheart ของอังกฤษ
และ Duke Leopold V แห่งราชวงศ์บาเบนเบิร์ก(ราชวงศ์แรกของออสเตรีย)
ที่ขัดแย้งกันอย่างหนัก ถึงกับทำให้ Duke Leopold V โมโหและกลับเมืองไปก่อน
กษัตริย์ Richard I ได้ร่วมเดินทางไปยึดเยรูซาเลมกันต่อ แต่ก็ไม่สำเร็จนะ ก็เลยเดินทางกลับอังกฤษ
ในระหว่างทางเดินกลับนั้นเอง เรือก็เกิดแตกที่อิตาลี ก็เลยต้องเดินทางบกแทน
ปัญหาก็คือมันต้องผ่านเยอรมนี และออสเตรียนี่สิ
พอไปถึงหมู่บ้าน Erdburg
(ทริปนี้ที่เวียนนา เราพักโรงแรมใกล้ๆสถานีชื่อ Erdburg ด้วย จะเป็นจุดเดียวกันรึป่าวนะ)
กษัตริย์ Richard I ก็ถูกจับได้ แล้วถูกนำไปขังที่ Dürnestein Castle แห่งนี้นี่เอง
แบบที่สอง
คือสมัยนั้น มักมีการจับตัวเศรษฐีเรียกค่าไถ่ กษัตริย์ริชาร์ดก็เลยโดนไปด้วย
ส่วนหนีออกมาได้ยังไง ก็เล่ากัน 2 แบบอีก คนรับใช้ช่วยหนี กับอีกแบบคือ ก็ยอมจ่ายเงินค่าไถ่
แต่เงินไปตกอยู่ที่จักรพรรดิเฮนรี่ที่ 6 ของเยอรมนี แบ่งกับ ลีโอโพลด์ที่5
(เอ๊ะ…ยังไงเนี่ยะ งี้รู้เลยว่าใครอุ้ม?)
ก่อนตาย ลีโอโพลด์สำนึกผิด ก็เลยทำพินัยกรรม คืนเงินส่วนที่ตัวเองได้มา คืนให้แก่อังกฤษ
(ถ้าจะคืนทำไมไม่คืนตอนมีชีวิตล่ะคะ)
ไม่รู้เชื่อได้มั้ยนะ…หรือจะสร้างสตอรี่เหมือนญี่ปุ่น
แต่เรื่องเล่านี้ ก็ทำให้ Dürnestein เล็กๆแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกแล้วค่ะ
หมู่บ้าน Willendorf
เป็นอีกที่หนึ่งที่โด่งดัง ไม่ใช่เพราะเมืองมีปราสาทโดดเด่นอะไรค่ะ แต่เป็นเพราะ “รูปปั้นเปลือย”
อ่านต่อนะ อย่าเพิ่งตาลุก
รูปปั้นเปลือยที่ว่า เป็นรูปปั้นผู้หญิงอ้วนค่ะ อันเล็กๆ สูงแค่ 11.1 ซม. เอง
ลเพราะสมัยโบราณนิยมผู้หญิงอ้วนท้วนสมบูรณ์(มั๊ง)
หินที่ใช้ปั้น เป็นหินในสมัยโบราณ ที่เป็นชนิดเดียวกับที่เขาเอามาสร้างกำแพงเมืองเลยค่ะ
รูปปั้นผู้หญิงอ้วนเปลือยนี้ ถือว่าเป็นของโบราณ โบราณมากๆ มากแค่ไหนรู้มั้ยคะ
เขาว่ามีอายุอยู่ที่ประมาณ 28,000 – 25,000 ก่อนปีคริสตศักราช !!!!
ห๊ะ…หลายหมื่นปี ย้ำว่าก่อนคริสตศักราชนะ
แต่เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อปี 1908 นี้เอง เป็นไปได้ไง
แต่ที่โด่งดังอีกเรื่องคือ รูปปั้นนี้ไม่ได้เป็นของพื้นที่แถบ Wachau แห่งนี้นะคะ
ทำไมถึงรู้ล่ะ…ก็เพราะ แถวนี้ไม่เคยมีหินแบบนี้มาก่อน
หินที่ว่า เขาจะเรียกว่า Limestone
ก็เลยคาดว่าน่าจะเป็นเครื่องราง ที่มีคนนำติดตัวมานั่นเอง
รูปปั้นผู้หญิงอ้วนเปลือยนี้ เรียกกันว่า…
Woman of Willendorf หรือ The Venus of Willendorf
อาจจะเพราะว่า ถ้าพูดถึงรูปปั้นผู้หญิงเปลือย คนก็จะนึกถึงเทพวีนัส
แต่ตอนนี้รูปปั้นหญิงอ้วนเปลือยของจริง นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Naturhistorisches Museum ที่เวียนนาแล้วนะคะ
ถ้าจะมา Willendorf ก็คงไม่ได้เห็นของจริงหรอกค่ะ แต่ที่นี่ก็มีพิพิธภัณฑ์อยู่นะ
จริงๆเป็นอีกที่ที่อยากไปเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาแล้วค่ะ
สรุป
เส้นทางแถบ Wachau เป็นเส้นทางที่พวกเราอยากแนะนำมากๆเลยค่ะ
แต่คงไม่ได้ครึกครื้น โด่งดังแบบเมืองใหญ่ๆนะคะ
ถ้ามีโอกาส หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนได้ คงอยากไปค้างแถวนั้น ซัก 2 คืน แล้วเดินสายตามหมู่บ้านริมแม่น้ำดานูบให้ทั่วเลยค่ะ
ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องกิน (แต่ปิดเร็ว และมีพักเที่ยงด้วยนะเออ)
สำหรับ Krems ไม่ได้ศึกษาอะไรมามากค่ะ แต่พอลองไปเดินดูแล้ว รู้สึกชอบมากกว่า Melk ซะอีกนะ (ถ้าไม่นับ Melk Abbey นะ)
ดูวิดีโอ เที่ยว Krems 2 ชม. นั่งรถไฟต่อไปค้าง Vienna Ep.104
รวมลิ้งค์ทุกตอน รีวิวเที่ยวยุโรป Season1
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ