Penang-Kuala Lumpur ; Malaysia review 5
28 เม.ย. 2557 วันที่สี่(วันสุดท้าย)ของการเดินทาง
วันนี้วางแผนไปปุตราจายาอย่างเดียว แล้วมุ่งสู่สนามบินกลับ ไม่มีแผนเที่ยวที่อื่นเลย
เพราะเก็บทุกที่ที่อยากไปแล้ว จึงออกช้ากว่าทุกวัน
ลั้นลาใจเย็นกับการเก็บของในตู้เย็นกินให้หมดในตอนเช้า
แต่หารู้ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทำให้เข็ดขยาดกับการมาเที่ยวที่นี่อีก
จัดกระเป๋า เช็คเอาท์ตอน 10 โมง ฝากกระเป๋าไว้แล้วเดินไปห้าง UO ที่อยู่ข้างตลาด Chow Kit เพื่อซื้อของ
แต่ไปเสียเวลา เสียอารมณ์ ตอนจ่ายเงิน เห็นว่าราคาที่ป้าย กับราคาที่จ่ายจริงมันไม่เหมือนกัน
เราเลยจะขอคืน เพราะมันเป็นความผิดของเขา แต่เขาไม่ยอมให้คืน
อธิบายอยู่นานว่าก็คุณติดราคานี้ แต่มาคิดอีกราคาได้ไง เขาก็บอกว่าติดผิด อ้าว..ก็ผิดที่คุณ ฉันจะคืนก็ไม่ได้
เลยขี้เกียจเสียเวลา แล้วเดินย้อนกลับมาเอากระเป๋า จากนั้นก็อำลาย่าน Chow Kit นี้
ขอเล่าวิธีการเดินทางของพวกเรา จากสถานี Chow Kit ไป Putrajaya
โดยไปตั้งต้นที่สถานี KL Sentral กันก่อน ที่นั่นจะมีเคาร์เตอร์ของ KLIA Transit
ซึ่งสามารถนั่งรถไฟ (เร็ว) ไปปุตราจายาโดยตรงได้เลยในราคา 9.5 ริงกิต
และจากปุตราจายาต่อไป LCCT ได้เลยในราคา 5.5 ริงกิต
เพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปย้อนมา
(แต่รถไฟไปไม่ถึง LCCT นะ แต่เขามี Shuttle Bus จอดรออยู่ ขึ้นแล้วนั่งต่อไปอีก 40 นาที ไม่ต้องเสียเพิ่ม)
กำหนดการขึ้นเครื่องกลับไทยคือ 20.50 น.
แต่ปัญหาคือ เราต้องลากกระเป๋าไปเที่ยวด้วยงั้นหรอ
ไม่ต้องเป็นห่วง ที่ปุตราจายามี Locker ฝากกระเป๋า ตู้กลาง 10 ริงกิต ตู้ใหญ่สุดๆ 20 ริงกิต ไม่จำกัดเวลา
ส่วนใครที่อยากฝากกระเป๋าที่ KL Sentral ก็มีล็อคเกอร์เหมือนกัน แต่มีเป็นช่องเล็กๆ 5 ริงกิต
พวกเรามาถึงสถานี KL Sentral ตอนบ่ายกว่าๆ เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือเลยเดินหา National Museum
เพราะดูจากแผนที่ก็ไม่ไกลมาก แต่ไม่เห็นมีป้ายบอกทางอะไรเลย
พวกเราสำรวจสถานี KL Sentral จนทั่วไปหมดทุกซอกทุกมุม เดินเลยไปที่ตึกสำนักงาน
เห็นมีป้ายโฆษณาร้านอาหารบังป้ายบอกทางทับอีกที เลยแหวกดูว่ามีบอกทางไปไหนบ้าง
เห็นมีเขียนว่า museum ด้วย เลยเดินไปตามลูกศร ปรากฏว่าเป็นทางตัน
เดินลากกระเป๋าแกร็กๆไปมาไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่
เลยให้อีกคนนั่งเฝ้ากระเป๋า แล้วสลับกันไปเดินหา สุดท้ายก็ไม่เจอ
ไม่เป็นไร ไม่ไปแล้วก็ได้ รีบซื้อตั๋ว KLIA transit ไป Puttrajaya เลยดีกว่า
ตัวรถไฟถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยนั่งมาของที่นี่ แต่ป้ายบอกทางยังไม่ชัดเจน แต่ก็พอเดาๆได้
มาถึงสถานี Puttrajaya แล้ว แต่คนไม่เยอะอย่างที่คิด โล่งมาก
อาจเป็นเพราะเป็นวันจันทร์ เราฝากกระเป๋าในล็อคเกอร์หยอดเหรียญ 10 ริงกิต
ลงไปก็เจอท่ารถเมล์ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่นี่ รับรองได้ว่า งง เป็นไก่ตาแตก
เพราะถึงจะมีป้ายบอกว่า มีสายไหนบ้าง ไปไหนบ้าง แต่ไม่เห็นมีรถที่ตรงกับป้ายเลย
เช่นว่า ป้ายระบุ สาย 101 102 103 104 105 ไปไหนบ้าง แต่รถล่ะ รถอยู่ไหน ไม่เจอเลย
พวกเราหาข้อมูลมาว่า ต้องขึ้นสาย U42 ไปมัสยิดปุตรา แต่ไม่มีเลย
มีแต่รถที่ขึ้นต้นด้วย L01-L11 กับเบอร์อื่นๆ สรุปว่ามีป้ายเขียนสายรถเมล์เยอะ แต่มีรถน้อย สุดท้าย
หลังจากที่นั่งรอมานานมาก เห็นคนขับเปิดประตูเลยขึ้นไปถาม เลยโอเคนั่งคันนี้ได้สาย L11 สีเขียว
นักท่องเที่ยวทั่วไปจะไปลงที่มัสยิดปุตราที่เดียว เดินเที่ยวระแวกนั้น แล้วก็กลับ
แต่พวกเรามีเวลาเหลือเยอะ แล้วก็อยากลงเดินดูตึกราชการ ตามถนนที่ผ่านด้วย
จึงตัดสินใจลงที่ Presint 3 ที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยกระทวงต่างๆ
แล้ววางแผนว่าจะนั่งรถรอบเมือง ไปลงชุมชน หรือห้าง หรืออะไรที่ดูคึกคักๆ
กะจะนั่งสายอะไรก็ได้ที่ผ่าน นี่คือแผนในอุดมคติที่วางไว้
หลังจากลงรถเดินเล่น ถ่ายรูป อาบแดด จนหนำใจ(คนปกติเขาไม่เดินกันหรอก แต่พวกเราบ้าเดิน)
ระหว่างทางที่เดิน สังเกตุได้ว่า ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว มีแต่รถยนต์ และรถทัวร์
แต่รถเมล์ไม่มี จนเดินมาถึงสะพานที่เขาว่าสวยที่สุด
ตรงที่มีทัวร์ลงมาถ่ายรูปนั่นแหล่ะ ชื่อสะพาน Jambatan Putra
แถวนั้นเป็นเมืองใหม่ (ที่ตอนนี้ดูไม่เห็นจะใหม่เท่าไหร่) เป็นศูนย์รวมทุกๆอย่าง
ทั้งศูนย์ราชการ กระทรวง ทำเนียบ บ้านนายก วังสุลตาน คอนโด บ้าน ห้าง แนวคิดเหมือนจะดีนะ ต้นไม้เยอะ ตึกอลังการ
แต่การเดินทางมาไม่สะดวกเลย เหมือนเอื้อต่อการขับรถยนต์มากกว่า
เพราะถนนสร้างซะใหญ่โต กว้างขวาง แต่รถเมล์ไม่ค่อยมี รถไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
แทบจะไม่เห็นคนเดินถนนเลย มีแต่รถยนต์
บริเวณมัสยิดปุตรา มี Food Court ก็จริง แต่ราคานักท่องเที่ยวนะ
ใครบ้าเดินแบบเรา ให้แวะกินที่ Food Court ในตึกกระทรวงต่างๆ สถานที่ราชการ ราคาจะถูกกว่ากันเยอะมาก
สถานที่นี้พวกเราเคยมาเที่ยวกับทัวร์แล้ว เมื่อ7ปีก่อน
(ตอนนั้นยังไม่กล้ามาเอง แล้วก็มาอบรมด้วยไม่ได้มาเที่ยว) ซึ่งความรู้สึกมันก็ต่างกันมาก
แต่สภาพแวดล้อมดูเหมือนเดิม ความรู้สึกตอนมากับทัวร์คือ
เหมือนเด็กมาทัศนศึกษา เขาพาไปไหน ให้ลง ให้กิน ให้เดินทางไหนก็ต้องเดินตามเขาไป
เพราะกลัวหลง ขึ้นรถไม่ทัน สมองก็จะจำแต่จุดนั้นๆ ที่ถ่ายรูป ที่เรายืน ที่เรากิน
แต่ความรู้สึกที่มาเอง มันจะจำได้ทุกย่างก้าว ตึกอยู่ตรงไหน อยู่ส่วนไหนของประเทศ
เหมือนมองลงมาจากที่สูงบนภูเขา เห็นบ้านเรือน แม่น้ำ คนเดิน ถนนหนทาง เชื่อมต่อกันยังไง เป็นภาพกว้าง
ช่วงนั้น4โมงเย็นแล้ว มัสยิดปุตรากำลังปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป เพราะกำลังมีพิธีทางศาสนา
ต้องรอถึง 5 โมงเย็น เลยคิดว่าไม่เข้าก็ได้ เลยไปรอรถเมล์ที่ป้ายเพื่อรอขึ้นคันไหนก็ได้ที่ผ่าน
ก็เห็นมีคนนั่งรอเหมือนกัน รอไปรอมา รถก็ยังไม่มาซักที 30 นาทีแล้ว
ยังไม่มีรถเมล์ผ่านซักคัน เลยเข้าไปถาม Imformation ได้ความว่า
ป้ายนี้เขาไม่แน่ใจว่ามีรถผ่านหรือป่าว (อ้าว มีไม่แน่ใจด้วยหรอ)
แต่ถ้าเดินไปอีก 8 นาที ไปทางหลังตึกทำเนียบนั่น ก็จะมีป้ายรถเมล์
เราก็ตกใจว่า เดินไป 8 นาที ก็ไกลเหมือนกันนะ ในความคิดตอนนั้นคือ
เหลือเชื่อที่ศูนย์กลางปุตราจายา ไม่มีรถเมล์วิ่งผ่าน เหมือนอนุสาวรีย์ไม่มีรถเมล์ทำนองนั้น มันจะเป็นไปได้ไง
นักท่องเที่ยวทุกคนที่มามาเลเซียยังไงก็ต้องแวะที่นี่ มันก็น่าจะมีขนส่งที่สะดวกสิ
ลงป้ายถึงมิสยิดเลย ขึ้นป้ายหน้ามัสยิดเลย อะไรทำนองนี้
เราเปิด google map ดู ก็เห็นมีรถสายรถวิ่งผ่านนะ มีป้ายรถเมล์นะ ตรงนี้แหล่ะ
บนข้างถนนก็เห็นมีป้ายติดอยู่ เป็นป้ายรถเมล์ชัวร์ๆ มีคนนั่งรอกันด้วยนะ รู้สึกสับสน
นั่งรอดูสถานการณ์พักนึง ก็ลองเดินไปตามที่เขาบอก เดินๆๆ ถนนก็ใหญ่โต ข้ามก็ยาก ไม่มีคนเดินกันเลย
ขึ้นบันได เจอแต่ป่า ต้นไม้ เดินๆ อาจจะด้วยความดื้อ และไม่เชื่อ ที่ทำไมไม่มีรถเมล์ผ่านตรงนั้นจริงๆหรอ
เมฆเริ่มครึ้ม ลมดั่งพายุพัดสาดหน้าเข้ามา ตัวเกือบปลิว มองไม่เห็นอะไรที่เรียกว่าป้ายรถเมล์
แม้แต่กลุ่มคนที่น่าจะมีบ้าง ก็ไม่มีเลย อะไรกัน ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนไม่มั่นใจ เคว้งคว้าง
เดินไปก็บ่นไป จะมีจริงหรอ จะเดินอีกไกลมั้ย เราเดินกลับไปรอที่เดิมเหอะ
ยังไงตรงนั้นก็มีป้ายรถเมล์ เดี๋ยวรถเมล์มาแล้วจะพลาดนะ ฝนก็กำลังจะตก
เดินต่อไปจะมีที่หลบฝนหรอ เกิดฟ้าผ่าทำยังไง
เหมือนเวลาผ่านไปนานมาก แต่จริงๆแค่เสี้ยวไม่กี่นาที จะด้วยความโง่ก็ได้
พวกเราหันหลังเดินกลับไปที่เดิม เพื่อหลบฝนที่กำลังจะตก เดินผ่านมัสยิดเห็นเขาเปิดให้เข้าได้แล้ว
เลยเข้าไปชม แต่ต้องยืมชุดคลุมหัว แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ใช้เวลาไม่นานที่นี่
ก็ออกไปรอที่ป้ายรถเมล์ที่เดิม ฝนเริ่มซัดแรง มีคนมาหลบฝนใน Imformation กันหลายคน
พอฝนเริ่มซาลง แต่ไม่มีทีท่าจะหยุด เวลานั้นมองเวลาที่มือถือเป็นเวลา 18.00 น. เฮ้ย…เดี๋ยวนะ
เวลานี้มันเวลาที่เราปรับรึยัง? (มาเลเซียปรับเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม.)
ด้วยความลนลาน สมองตื้อไปชั่วขณะ รู้สึกใจหาย
เพราะตามกำหนดการณ์เราต้องออกจากที่นี่ตอน 6โมงเย็น
เลยเข้าไปถามเวลาที่ Imformation ใจเต้นตึกตักว่า เราดูเวลากันผิดหรอเนี่ย
จริงๆนี่มันกี่โมงกันแน่ ท้องฟ้ามืดครึ้มมาก
พอเขาบอกเวลา 18.10 น. มาค่อยโล่งอกไปหน่อย
แต่ปัญหายังไม่หมด เพราะการเดินทางจากที่นี่ไปสนามบินต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1.30 ชั่วโมง
แล้วยังต้องเผื่อเวลาอื่นๆอีก แปลว่าเราเหลือเวลาถึงเครื่องออกอีก 2.50 ชั่วโมง
ฝนยังตกไม่หยุด และเริ่มพายุ ห่าฝนระลอกใหม่แล้ว
พอดีคนข้างๆก็ถาม imformation เกี่ยวกับรถเมล์เหมือนกัน แต่ก็บอกเหมือนเดิม
เราก็เลยชวน2คนนั้นว่า เรามาแชร์ค่าแท็กซี่กันมั้ย เขาก็โอเค แต่พอเดินออกไปหาแท็กซี่
กลับไม่มีซักคัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มาตื้อ “แท๊กซิๆ” อยู่หลายคัน แต่ตอนนี้ไม่มีเลย
เอายังไงดี เดินๆไปก่อนละกัน เดินไปเรื่อยๆ เดินไปหลังทำเนียบ
ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันจะไกลแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเดินกันมานิดนึงแล้ว
แต่ไม่เห็นวี่แววที่น่าจะมีป้ายรถเมล์เลย
4 คน (เรา2คน ผู้ร่วมชะตากรรมอีก2คน)เดินฝ่าพายุ เดินไปเหลียวไป
มองดูเผื่อจะมีรถเมล์ หรือแท๊กซี่มาบ้าง ลองนึกภาพดูนะ ลานโล่งกว้าง
ไม่มีผู้คนเดินนอกจากพวกเรา 4 คน ถือร่มคนละคัน (ยังดีที่เตรียมร่มมา)
พายุซัด(แม้จะมีร่มก็เปียก) รองเท้าชุ่มไปด้วยน้ำขัง หัวใจเต้นแรง สีหน้ากระวนกระวาย สับสน
แต่พยายามทำใจแข็ง ฟ้าเริ่มร้อง รถบนถนนยังมีวิ่งอยู่ แต่ไม่เห็นคนเดิน
มีแต่หลบอยู่ด้านในไกลๆ เดินไป 2ก้าว เหลียวหลังทีนึง เดินอีก3ก้าว เหลียวหลังอีกที
เพียงหวังว่าจะมีรถเมล์ หรือแท๊กซี่ซักคัน
เดินไปเหลียวหลังไปจาก imformation ไปหน้าทำเนียบ อยู่ประมาณ 300 เมตร
(แค่ 300 เมตร ทำไมตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเป็นกิโลเลย)
พวกเราเริ่มหมดหวังกับรถเมล์แน่ๆแล้ว เลยมองแต่รถแท๊กซี่ ตอนนี้เดินขึ้นบันได
แต่ละก้าวที่เดินมันเหมือนยาวนานมาก เดินไปกลัวไป มีอยู่ครั้งนึง
ความบ้าเสียสติมาจากไหนไม่รู้ เห็นรถยนต์วิ่งมา เลยเอามือโบก Help me!
แต่ก็ไม่มีใครจอด เออ…ไม่คิดว่าจะมีใครจอดอยู่แล้วล่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ในหัวก็คิดไปเรื่อย ถ้าไปไม่ทันจะทำยังไงล่ะ
(ตอนนั้นมันหัวตื้อมาก จริงๆถ้าไม่ทันก็แค่ซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่แค่นั้น)
1วินาที เหมือน1นาที เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว
ไม่รู้เลย รู้สึกแต่ว่ามันนานมาก เหมือนเดินอยู่ในป่า เราโพล่งขึ้นมาว่า
จะไปจริงๆหรอ มันน่าจะไกลนะ ฝนก็ตกหนัก เกิดฟ้าผ่าขึ้นมา จะทำยังไง
คนที่บ้านจะรู้มั้ยว่ามาเป็นอะไรอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
เพราะตอนมาก็ไม่ได้บอกใครเห็นว่ามาแป๊บเดียว ไม่กี่วัน
แต่สามีเราบอกว่า มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ต้องเดินหน้าอย่างเดียว
รอฝนหยุดก็ไม่รู้เมื่อไหร่ คงไม่ทันขึ้นเครื่องแน่ๆ
เดินขึ้นบันได ผ่านเนินข้างทำเนียบที่เคยตัดใจเมื่อกี้ เจอซุ้มร้านค้า เข้าไปถามทาง
เขาว่าเดินไปอีก 5 นาที ความรู้สึกตอนนั้น 5 นาทีมันนานมากนะ
5นาทีเลยหรอ จะไปสร้างป้ายรถเมล์ตั้งไกลทำไมเนี่ยะ
พอย้อนกลับมามอง หรือคนอ่านอาจเห็นว่าก็แค่5นาที ก็เดินๆไปตามที่เขาบอกก็สิ้นเรื่อง
หรือเดินจาก imformation 8 นาที ก็ถึงป้ายรถเมล์แล้ว ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม
แต่ความคิดตอนนั้น สถานการณ์ตอนนั้น มันเหมือนเดินในถ้ำที่มืด
มองไม่เห็นอะไรเลย มีคนบอกว่าเดินตรงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึงเอง
แต่มองไม่เห็นแสงทางออกเลยนะ เดินตั้งนานแล้วก็ยังมืดอยู่เลยนะ ถ้าต้องเดินถึงแก่จะทำยังไง
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่คิดขึ้นได้ เคยได้ยินเมื่อหลายปีก่อน เขาเล่าว่า
ถ้ามีคนบอกว่า ถ้าว่ายน้ำจากฝั่งนี้ ไปฝั่งนั้น ว่ายตรงไปเรื่อยๆ
จะเจอขุมสมบัติมหาศาล แต่ในทะเลมีหมอกปกคลุมทั่วไปหมด
แม้แต่หน้าคนข้างๆยังมองไม่เห็น มือตัวเองก็แทบจะกลืนไปกลับสายหมอก
น้ำทะเลก็มีอะไรไม่รู้พันยั้วเยี้ยที่ขา อาจจะเป็นสาหร่าย ต้นไม้ทะเล ปลา เม่น หรืออาจจะมีฉลาม
ว่ายไปคิดไป กลัวไป กังวลไป ไม่มั่นใจไป ไม่ถึงซักที
ตัดสินใจย้อนกลับดีกว่า ทั้งๆที่อีกแค่ 1 ช่วงตัวก็ถึงฝั่งแล้ว
สถานการณ์นี้ทำให้เราได้อุทาหรณ์ว่า
อย่าเชื่อ google map อย่าเชื่อสิ่งที่คิดว่ารู้มาก่อน อย่าเชื่อแผนที่
จงใช้ปากให้มากที่สุด และมีสติ ทันใดนั้นเอง เห็นกลุ่มคนตะคุ่มๆ
น่าจะเป็นป้ายรถเมล์แน่ๆ รีบเดินเร็วขึ้น (วิ่งไม่ได้ เพราะมีน้ำขังเยอะ)
เห็นป้ายรถเมล์ ดีใจเหมือนเห็นแสงสว่าง รอไม่นานก็มีรถเมล์มาจอด
ขึ้นไปถาม 3 คัน ไม่มีคันไหนไปท่ารถเลย
รอถึงคันที่ 4 เขาก็กวักมือให้ขึ้นไป เฮ้อ…เรารอดแล้ว
รถวนไปแหล่งคอนโด วังสุลต่าน ห้าง บ้าน ไม่รู้แล้วว่าไปไหน เขาว่าผ่านก็โอเค
นั่งนานมาก หนาวก็หนาว เพราะตัวเปียก รองเท้าผ้าใบแฉะไปหมด
ฝนยังไม่หยุดตก นั่งมองวิวภายนอกไป ก็ลุ้นไปว่าจะทันมั้ยน้า
เห็นป้ายรถเมล์ที่หนึ่ง คุ้นมาก เอ๊ะ…นี่มันป้ายที่เราขึ้นนี่
อีก2คนที่เป็นเพื่อนร่วมหลงด้วย ก็หันมาว่า นี่มันป้ายที่เราขึ้นใช่มั้ย
ไม่ผิดแน่ (คิดในใจ ขอบคุณทั้งน้ำตา อุตส่าห์พาเที่ยวชมเมือง ฮือๆๆ)
จากนั้น ก็เลี้ยวไปอีกทาง จนมาถึงท่ารถจนได้
สรุปใช้เวลาเริ่มตั้งแต่นั่งรถ ถึงท่ารถ ประมาณ 30 นาที
รีบไปเอากระเป๋าที่ล็อคเกอร์(โชคดีนะเนี่ย ไม่ได้ลากกระเป๋าไปด้วย)
ซื้อตั๋ว KLIA transit เพื่อไป LCCT ระหว่างรอรถไฟอีก 15 นาที
ก็ต้องถอดถุงเท้าเก่าที่เปียกจนเท้าเปื่อย
เอาถุงเท้าที่เคยใส่ของวันอื่นแล้วมาใส่แก้ขัดไปก่อน ยังดีกว่าอับชื้น
การเดินทางจะไม่ได้มีรถไฟไปถึง LCCT โดยตรง แต่ตั๋วนี้จ่ายครั้งเดียวคนละ 5.5 ริงกิต
นั่งรถไฟจาก Puttrajaya ไปลงสถานีถัดไป (จำชื่อไม่ได้) ไม่เกิน 10 นาที
แล้วจะมี Shuttle bus จอดรออยู่ ต้องนั่งบัสนี้ต่อไปอีก
ประมาณ 40 นาที (นานมาก นั่งจนหลับ จนคนข้างหลังสะกิดถามว่า
คันนี้เขาไป LCCT ใช่มั้ย สงสัยไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะนั่งนานจริงๆ)
แต่สภาพรถถือว่าดีมากๆ ดีกว่า Aero bus เยอะเลย
ลงรถปุ๊บ เจอฝรั่ง 2 คน ปรี่เข้ามาขวางหน้า ถามว่า จะไป KL Sentral ยังไง
ท่าทางพวกเราลงจากรถรีบร้อนมากๆ คิดยังไงมาถามเนี่ยะ
แต่เนื่องจากพวกเราได้รับความลำบากแบบเขามาแล้ว ก็อยากช่วย
พวกเราเลยควักโบรชัวร์ KL transit แผนที่รถไฟฟ้า อธิบายแบบงูๆปลาๆ
ฮึ๊ยย..เขาเข้าใจด้วยแฮะ ชูนิ้วโป้ง 2 มือให้ แทงคิ้วๆใหญ่
เราก็ อ๊ะ … I give you ให้เอกสารโบรชัวร์ แผนที่รถไฟ มีอะไรน่าเป็นประโยชน์ ก็ยกให้หมดเลย
ถือว่าทำบุญครั้งหน้าเราจะได้ไม่เจอทริประทึกขวัญแบบนี้อีก
ดูท่าทางเขาซึ้งน้ำใจมาก ยิ้มแก้มปริ อยากคุยต่อนะ(ทั้งๆที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ) แต่ไม่มีเวลาแล้ว
พวกเราไม่รู้หรอกว่าเวลาเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังมีกะใจอธิบาย
พูดจบก็รีบวิ่งต่อ มาดูเวลาอีกทีก็ 2 ทุ่มนิดๆแล้ว ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเอง
สนามบินเล็กนิดเดียว เข้า GATE ไปก็ถึงแล้ว สภาพตอนเข้าเกทไป
เหมือนอยู่หมอชิต เฮ้ย…ทำไมเกทมันเหมือนรอขึ้นรถทัวร์เลยล่ะ
มาผิดที่รึป่าว ไม่…ไม่ผิด เพราะชะโงกไปเห็นเครื่องบินด้วย
มีจอบอกไฟลท์ และเที่ยวบินที่เราต้องขึ้นด้วย มีพนักงานแอร์เอเซียชุดแดงแปร๋
ไม่ผิดแน่นอน โอว…ไม่นะ นี่มันสนามบินจริงๆหรอเนี่ยะ มาเก๊ายังไม่ขนาดนี้เลย
ห้องน้ำที่นี่ สกปรกมาก คนแออัดกันเยอะมาก
เริ่มมานั่งรอตอน 2 ทุ่มครึ่ง (ทันเครื่องออก 20.50 น. อย่างเฉียดฉิว)
แต่พอได้เวลา แอร์เอเชียประกาศเครื่องเลื่อนเวลาออกเป็น 3 ทุ่ม เพราะสภาพอากาศไม่ดี
แต่เรากลัวฟังผิด เลยเดินหาคนไทนคุยด้วย เห็นกลุ่มวัยรุ่นอัธยาศัยดี เข้าไปทัก
คุยกันจนสรุปความประทับใจกับที่นี่ มีความรู้สึกที่คล้ายกับพวกเรา คือ
ไม่อยากมาที่นี่อีกแล้ว ขอไม่เล่าเพราะจะยาวมาก แต่ถึงขั้นตกเครื่องบิน ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่
เหตุก็เพราะการขนส่งมวลชน ยังไม่หมด ยังมีชาวอิตาลี
ที่น้องๆกลุ่มนี้ไปพบระหว่างเที่ยวที่คาเมรอน เจอประสบการณ์ที่เลวร้ายกว่าพวกเราหลายเท่า
จากที่ตั้งใจมาฮันนีมูนกับภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน ถึงกับเอ่ยปากว่า จะไม่มาประเทศนี้อีกเลย
หลักๆแล้วก็คือเรื่องการขนส่งมวลชนที่ไม่เอื้อต่อการเที่ยวเองเลย และอื่นๆอีก
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นของคนไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้นไม่ได้หมายความว่า การมาเที่ยวประเทศนี้ไม่ดี
ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของเจ้าบ้าน
แต่เป็นการเจอประสบการณ์ที่ไม่ประทับใจเท่านั้น อาจเป็นความโชคร้าย ความไม่พร้อม ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฯลฯ
แม้ว่าพวกเราจะรู้สึกไม่ประทับใจ อ่านแล้วอาจกลัว ไม่อยากมา
เราก็ยังอยากแนะนำให้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองก่อน การเที่ยวไม่ได้ไปเพื่อประทับใจ หรือไม่ประทับใจ
แต่ไปเพื่อรับประสบการณ์ ความประทับใจเหมือนได้โบนัส
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ