Penang-Kuala Lumpur ; Malaysia review 4
27 เม.ย. 2557 วันที่สี่ของการเดินทาง
วันนี้วางแผนไป Batu Cave + City tour ตั้งใจเริ่มต้นจากMonorail สถานี Chow Kit
ไปต่อรถไฟ KTM ที่สถานี Putra
แต่พอมาถึงสถานี Monorail ก็พบว่าหยุดให้บริการ ปิดไม่ให้เข้า
พร้อมทั้งขึ้นตัวหนังสือสีแดงบนจอ อ่านออกคำเดียวว่า Presiden Obama
ก็เลยเข้าใจว่าน่าจะ เป็นการรักษาความปลอดภัย โดยการปิดถนน
ให้ท่านประธานาธิบดีจากประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันตก สหรัฐอเมริกา เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
แต่เอ๊ะ นี่มันรถไฟฟ้า ทำไมต้องหยุดด้วยละ ไม่ได้กีดขวางจราจรเลย
ไม่เป็นไร เราเดินเอาเองก็ได้ เดินๆๆ ไปที่สถานี PWTC ดูจากแผนที่แล้วนึกว่าไม่ไกลมาก
แต่เมื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน เมื่อถึง LTC PWTC จะมีทางเดินเชื่อมเป็นสะพานลอย
ระหว่างทางก็เห็นโรงแรม Sunway Putra ที่เกือบจะจองไว้ก่อนมา
แต่ไม่ได้จองเพราะราคาแพงกว่าที่ Grand Season พอมาเห็นสถานที่แล้ว ก็ดีที่ไม่ได้มาพักที่นี่
เพราะเดินไกลน่าดู ไม่ค่อยเห็นตลาด หรือซุปเปอร์ แหล่งซื้อของ
เดินต่อไปเรื่อยๆ บนสะพานลอยทางเชื่อมนั่นแหละ จนสุดทางก็จะเห็นรางรถไฟของ KTM แล้ว
(ลักษณะเหมือนรถไฟปกติ ไม่เหมือนรถไฟฟ้า)
พูดถึง KTM ซะหน่อย เพราะแปลกตรงที่ เค้าใช้ระบบคนยืนเก็บตั๋ว ไม่ใช้เครื่อง
(ปกติกดซื้อตั๋วที่เครื่อง สอดตั๋วขาเข้า – ขาออก)
สงสัยแรงงานจะถูกมาก หรือเครื่องเสียก็ไม่รู้ ส่วนด้านในรถมีที่นั่งคล้ายรถทัวร์ ดูดีกว่าที่คิด
อย่าได้ไปเปรียบกับรถไฟไทยล่ะ อันนั้นปล่อยเขาไปเถอะ หลุดโลกไปแล้ว (แต่ไม่น่าเชื่อว่าฝรั่งชอบนั่งรถไฟไทย)
สำหรับวิวสองข้างทางไม่ค่อยสวยเลย เหมือนวิ่งอยู่ในหลุม
มีกระจกที่เหมือนโดนอะไรกระทบ ร้าวจะแตกอยู่หลายบาน นั่งไปก็กลัวไป ว่ามันจะแตกเข้าหน้า เลยเปลี่ยนที่นั่งดีกว่า
เมื่อมาถึงสถานี Batu Cave เดินผ่านคนเก็บตั๋ว ไม่ใช่เครื่องสอดตั๋ว
สภาพสถานีก็กลางๆ ไม่หรู แต่ก็ไม่ถึงขั้นโทรม
เดินเข้ามาเจอรูปปั้นใหญ่ยักษ์เห็นแต่ไกล เป็นคนตัวสีเขียว แต่ปากเป็นลิงมีหาง (เข้าใจว่าคงมาจากรามเกียรติ์)
ด้านหลังมีศาลา และมีรูปปั้นตัวสีน้ำเงิน และด้านหลังรูปปั้นอีกทีมีถ้ำ เสียค่าเข้า 2 ริงกิต
เข้าไปดูแล้ว ก็ถือว่าไม่แพงสำหรับการเข้าชม ดูแปลกตาดี ก็จะมีรูปปั้นต่างๆ เล่าเรื่องราวอะไรซักอย่าง
ไม่มีบรรยายภาษาอังกฤษ ทางขึ้นบันไดปูนชันมากๆ
แต่ที่ดูไม่สบอารมณ์เลยคือ พวกนักท่องเที่ยวมือบอน ที่เขียนชื่อ เขียนข้อความที่ผนังถ้ำ เต็มไปหมด
จะขอไม่บรรยายมากละกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นบ่น แต่ขอเตือนให้ระวังเรื่องยุง
เพราะถ้ำเป็นที่อับชื้น และทางใต้ก็เสี่ยงต่อเชื้อมาลาเรีย ที่มีพาหะจากยุงก้นปล่อง
เราโดนกันไป เพิ่งมารู้สึกตัว ก็ตอนออกมาข้างนอกแล้ว
ข้อสังเกตุจากการมาที่นี่ คือไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ดูแล ไม่มีเลยก็ว่าได้ ป้ายก็เขียนบอกอยู่ว่า No Shoes
แต่ก็เห็นคนใส่รองเท้าเดินเข้าหน้าตาเฉย หรือ ป้ายระเบียบการแต่งตัว ที่ห้ามกางเกงขาสั้น เสื้อสายเดี่ยว
ห้ามให้อาหารสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ แต่ก็เห็นกันเกลื่อน ทั้งนุ่งสั้น สายเดี่ยว ให้ขนมลิง
ขนมก็หกพื้นเรี่ยราด สูบบุหรี่โยนทิ้งพื้น สภาพแวดล้อมเหมือนไม่มีใครดูแล
ไม่มีคนทำความสะอาด ขยะเต็มไปหมด มีกลิ่นด้วย ส่วนของที่ขายก็ไม่น่าเอามาขายได้เลย
เช่น เครื่องบินร่อนของเด็ก คิดดูนะ ตั้งใจเดินขึ้นบันใดซะสูง เหมือนดอยสุเทพ
ขึ้นไปเจอขายของเด็กเล่น เครื่องบิน บินกันว่อน แหม…ทำลายบรรยากาศหมดเลย
จริงๆก็ไม่ควรให้มาขายข้างบนด้วยซ้ำ เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อยากขายก็ไปตั้งบูทขายข้างล่างสิ
หรือต่อให้ขายได้ ก็เอาที่เป็นเกี่ยวกับเครื่องราง หรือของที่น่าเคารพกันหน่อยก็ได้
เอาเครื่องบินร่อนมาขาย โอยย…ไม่อยากเชื่อ คือไม่ได้เว่อร์นะ แต่ที่ขายน่ะ มีอยู่แค่ 2 ร้าน
คือร้านเครื่องร่อน ของเด็กเล่น กับอีกร้านเป็นถ่ายรูป มาเฟียมาจากไหนเนี่ยะ
แต่ต้องยอมรับว่า ใจดีพอควรที่ไม่เก็บค่าเข้าชม แต่จริงๆควรจะเก็บนะ จะได้นำมาปรับปรุง บำรุงรักษา เพราะดูสกปรกมาก
แต่สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาค ก็มีตู้ใหญ่มากๆ ให้หย่อนเงินลงไปตามศรัทธา
ส่วนในถ้ำด้านบนสวยมาก มีหินย้อยลงมาท่ามกลางแสงที่ลอดผ่านช่องเป็นรูใหญ่ๆ
ใครถ่ายรูปเป็นก็คงได้รูปที่สวยมาก มีการทำพิธีต่างๆทางศาสนา(น่าจะเป็นฮินดู)
ระหว่างทางมีทางแยกไปถ้ำเพื่อดูค้างคาว ต้องโรยตัวลงไป คิดแล้วสยอง
และมีค่าทำกิจกรรมสำหรับผู้ใหญ่ 35 ริงกิต เด็ก 25 ริงกิต มีอุปกรณ์ป้องกันครบ
ใครต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนเชิญเลยนะคะ พวกเราขี้กลัวขอบายค่ะ
ช่วงเที่ยงออกเดินทางต่อไปยัง KL Sentral เปลี่ยนสายเป็นรถไฟ LRT ไปลงสถานี Masjid Jamek
เพื่อไปชมบริเวณที่เรียกว่า Merdeka Square ซึ่งเราเรียกกันเองว่า สนามหลวง
แต่ทางออกมีหลายด้าน มีคนพลุกพล่านมาก มีตลาดนัดของขายเต็มไปหมด
จากที่จะไปชมสถานที่ที่มีสาระ กลายเป็นเดินช็อปปิ้งไปแล้ว
เพราะเดินหาทางไป Merdeka Square ไม่ถูก ไม่มีป้ายบอกทางเลย
เดินไปเรื่อยๆ เจอ Masjid India ร้านค้าสไตล์อินเดียดูน่าสนใจไม่เบา เดินหลงไปหลงมาอยู่นาน
หลงขนาดวนมาเจอ Central Market ซ้ำกับเมื่อวานด้วย ย้อนกลับทางเดิม
จนมาเจอ Masjid Jamek แต่เข้าไปด้านในไม่ได้ เพราะมีกฏระเบียบการแต่งตัวที่เคร่งครัด
เนื่องจากช่วงนี้ แบตเตอร์รี่กล้องถ่ายรูปหมด โดยไม่รู้ตัว เพราะหยิบแบตมาผิดชุด กลายเป็นชุดเดิมที่ยังไม่ได้ชาร์จ
เลยไม่ได้เก็บรูปมาอย่างที่ต้องการ แต่ก็ได้กล้องมือถือถ่ายบริเวณ Merdeka Square ได้ไม่กี่รูป แต่ก็น่าเสียดายเพราะบริเวณนั้นสวยมากๆ
มีประวัติศาสตร์ของแต่ละตึกให้อ่านตามริมถนนที่อยู่ตรงข้ามกับ อาคาร Sultan Abdul Samad Building
แต่ปิดอยู่ เพราะเป็นวันอาทิตย์ ตึกนี้ปัจจุบันกลายเป็นกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งก็เห็นด้วยเพราะรูปทรงตึก
ความเก่าแก่ แสดงถึงวัฒนธรรมประเทศมาเลเซียดี
ต่างจากประเทศไทยที่ กระทรวงวัฒนธรรมไปหลบอยู่ไกลเมือง แถวปิ่นเกล้า ตึกธนาลงกรณ์ ที่มีออฟฟิตต่างๆ อยู่ด้วย
เหมือนเป็นแค่หน่วยงานเล็กๆเท่านั้น ไม่ได้แสดงถึงวัฒนธรรมอะไรเลย
ระหว่างทางเดินกลับไปสถานี Masjid Jamek ที่มีตลาดนัด
จะมีร้านอาหารอยู่เห็นน่ากินเลยสั่ง โรตีมะตะบะ นาน
(นึกว่าเป็นโรตีแผ่นๆ แต่กลับได้ โรตีแบบหนาๆ กลมๆที่เขาเรียกว่า โรตีนาน-Nan)
แกงข้นๆดำๆ มีเนื้อไก่ เนื้อปลา ที่คลุกกับแกงสีๆ (คือเรียกไม่ถูก)
อร่อยมาก แต่ก็นึกว่าจะเป็นถ้วยเล็กๆ แต่ได้มาถ้วยเบ้อเริ่มอีกแล้ว พุงกางกันไปทุกวันเลย
รวมมื้อนี้ 20.5 ริงกิต จริงๆตั้งใจจะกินอย่างละนิดหน่อย ไม่เกินมื้อละ 100 บาท
แต่ด้วยความที่ไม่รู้ขนาดของอาหาร เลยได้มาเยอะทุกวันเลย
ถ้าจะให้พอใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษกับการมาเที่ยวที่มาเลเซีย
คงต้องยกให้อาหารพวกแกงกับโรตีนี้แหล่ะ อร่อยมากๆ
เรานั่ง LRT สายเดิม ไปลง KLCC หรือจุดศูนย์กลางของเมืองที่ทุกคนต้องมา
คือจุดที่ตั้งของ ตึกแฝดปิโตรนาส โดยที่สถานี KLCC จะอยู่ใต้ตึก ปิโตรนาสพอดี
ออกมาจากตึกแล้วมองหาตึกแฝดไม่เจอก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันอยู่บนหัวเรานั่นแหละ
แต่ในขณะนั้นฝนกำลังตกหนักมากๆ จึงเดินเล่นอยู่แต่ในห้าง Suria เดินวนไปวนมารอให้ฝนหยุด
จริงๆพวกเราไม่ได้ชอบมาเดินห้างหรอก แล้วก็ไม่ได้มาชมตึกแฝดด้วย
เพราะเคยมาแล้วเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนี้ก็ยังจำได้ เก็บรูปไว้ทั่วแล้ว
แต่ที่มาที่นี่ก็เพราะจะรอขึ้นรถ GO KL เป็นรถเมล์ฟรี
เมื่อฝนหยุดตก ก็หาที่ขึ้น GO KL ซึ่งก็หาไม่ยาก เดินออกมาจากใต้ดินสถานีรถไฟฟ้า
ออกมาทางด้านหน้าตึกแฝด จุดที่เขาให้ขึ้นชมวิวด้านบน ก็เห็นจุดจอดรถทันที
อยู่ข้างหน้าตึก วางแผนเอาไว้ว่าจะนั่งวนดูก่อน ยังไม่ได้คิดจะลงตรงไหนเป็นพิเศษ
แต่พอนั่งไปไม่ถึง1ป้ายเลย รถเกิดติดอยู่กับที่นานมากๆ จนคนขับลงไปแล้ว เปิดประตูทิ้งไว้
คนอื่นๆก็ชะเง้อมองว่าติดอะไรกันนักหนา ก็ทยอยลงไปกันบ้าง
เราเห็นว่าติดนานมากแล้ว ก็เลยคิดว่าเสียเวลาจัง ลงไปเดินเล่นดีกว่า
ปรากฏว่าสาเหตุที่ติดเพราะ ปิดถนน รักษาความปลอดภัยให้ โอบามา
พวกเราเลยยืนดูกับเขาบ้าง รถตำรวจนำหน้า เห็นรถหรูๆ น่าจะเป็นคันที่ โอบมา นั่งอยู่
ก็เลยวิ่งกลับมาที่รถเมล์ฟรี เพราะอีกเดี๋ยวถนนก็จะเปิดแล้วแน่ๆ กลับมาที่รถก็มีฝรั่งถามว่าเกิดอะไรขึ้น?
พูดถึง GO KL จะมีด้วยกันสองสาย สายแรกเป็นสายสีม่วง
ก็คือสายที่เมื่อวานนั่งจาก ไชน่าทาวน์นั่นแหล่ะ ส่วนอีกสายคือสายสีเขียว ที่เรานั่งกันวันนี้
ทั้งสองสายวิ่งวนรอบเล็ก มีทับเส้นกันบ้างบางจุด แต่เน้นถนนเส้นย่านธุรกิจ ตึกสูงๆ ห้างหรูๆ
สำหรับพวกเราสายสีเขียวนี้ ไม่ได้ลงตรงไหนเลย วิ่งวนมาครบรอบก็ลงป้ายเดิมที่ขึ้นมา
เพราะเห็นว่าไม่มีจุดที่น่าสนใจสำหรับพวกเรา
ที่สุดท้ายที่วางแผนไว้คือ ห้าง Aeon เพื่อทัวร์ซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งเป็นห้างสายเลือดญี่ปุ่น
วิธีไปเราเริ่มต้นที่ KLCC ไปลงสถานี KL Sentral นั่ง KTM สายสีน้ำเงิน
ต่อไปอีก1สถานี ลงสถานีชื่อว่า Mid Valley แต่เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือ
ท้องฟ้ายังไม่มืดมาก เลยนั่งเลยไปอีก 3 สถานี เพื่อดูวิวข้างทาง เผื่อมีตัวเมืองที่น่าสนใจ
แต่พอเลยสถานี Mid Valley ไป ก็จะเป็นทุ่งหญ้า รกร้าง เหมือนออกต่างจังหวัดไปเลย
นั่งไปเรื่อยๆคิดว่าชักจะไม่น่าสนใจแล้ว ไม่มีอะไรเลย มีแต่ท้องฟ้า กับต้นหญ้า เลยลง
แล้วย้อนกลับไปอีกฝั่ง เพื่อนั่งรถไฟกลับไปที่ Mid Valley
(ไม่เสียค่ารถเพิ่ม เพราะยังไม่ได้ออกจากสถานี)
มาถึงห้าง Aeon ทัวร์ห้างไปถึงชั้นบนสุด มีงานออกร้านเกี่ยวกับ wedding fair ในแบบของอินเดีย
ถึงกับอึ้งไปเลยตรงที่ เขาจัดงานแต่งงานกันอลังการขนาดจะสร้างซุ้มเป็นพระราชวัง
เครื่องตกแต่งหรูหรา สวยงามอย่างบอกไม่ถูก ชุดก็เป็นแบบอินเดีย บอกเลยว่าอลังมาก
นี่แค่โชว์บางส่วนนะ ถ้างานแต่งงานจริงๆสงสัยใหญ่กว่างานระดับจังหวัดซะอีก
ลองนึกภาพว่าในงานมีแต่คนอินเดีย (ย้ำว่าแนวอินเดีย ไม่ใช่แขก ไม่ใช่มุสลิม หน้าตาอินเดียชัวร์ๆ)
พวกเราหน้าตาอาตี๋ อาหมวยทั้งนั้น แต่งตัวเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ ยังกับนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น
แวดล้อมด้วยบรรยากาศเหมือนอยู่ในหนังอินเดีย ทุกสายตามุ่งมาที่พวกเรา เหมือนหมูสับในหม้อเครื่องเทศ
แต่มัวชื่นชมพริตตี้สาวชาวอินเดียหน้าสวย ตาคม อยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องรีบไปกันต่อ
ห้างนี้เหมือนอยู่ใน ญี่ปุ่น มีของขายที่เหมือนในญี่ปุ่น สร้างมารองรับคนญี่ปุ่นที่มาทำงานที่นี่
ด้านล่างชั้นใต้ดินเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต อาหารญี่ปุ่นเพียบ พอดีตอนนั้นเวลาเกือบ 2 ทุ่มครึ่งแล้ว
เลยมีของลดราคาออกมาพอดี แย่งกันหนุบหนับ รวมทั้งพวกเราด้วย
ทั้งขนมปังใส้ต่างๆ แฮมเบอร์เกอร์ ซูชิ โครอกเกะ ของทอด อาหารอื่นๆอีก
ได้เสบียงมากินในตอนเย็นและเก็บไว้กินในวันพรุ่งนี้ ของที่นี่ราคาสูงทุกอย่าง
แต่มีอยู่อย่างเดียวที่เราเจอถูกกว่าที่ไทยคือ เนยถั่ว ที่ทากินกับขนมปัง
ปกติจะซื้อกินเป็นประจำ ราคาถูกสุดก็ 135 บาท แพงสุดก็ 200 บาท
แต่ที่นี่มีอยู่ยี่ห้อหนึ่ง 80 บาท แต่เอามาแค่ 2 กระปุกเอง เพราะมันหนัก กลับถึงโรงแรมประมาณ 4 ทุ่ม
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ