Penang-Kuala Lumpur ; Malaysia review 2
25 เม.ย. 2557 วันที่สองของการเดินทาง
7.00 น. ตื่นเช้าไปกินอาหารเช้า บุฟเฟ่ต์ของโรงแรม เป็นอาหารมาตรฐานตามโรงแรมทั่วไป หลากหลายดีมาก อร่อยได้มาตรฐาน สะอาด และบริการใช้ได้เลย พวกเรานั่งกินเรื่อยๆเฉื่อยๆ ขอตุนไว้ให้มากที่สุด แต่เห็นทัวร์จีนต้องรีบกิน รีบไป
8.00 น. กินเสร็จก็ค่อยขึ้นไปจัดกระเป๋าเพื่อเช็คเอ้าท์ออกเลย แต่ฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ก่อน จากนั้นก็ลุยปีนังทั้งวันเต็มที่
9.00 น. เดินออกจากโรงแรมไปโผล่ซอย Jalan Burma แล้วออกไปทางถนนที่มุ่งไปทาง Komta เพื่อไปสำรวจที่ทางขึ้นรถที่ท่ารถ Komta Pusat ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้าง Pragin Mall ว่ามีสายอะไรผ่านบ้าง
ขากลับไปสนาบบินต้องมาขึ้นตรงไหน เดินวนไปวนมาจนพรุน แต่ก็ยังหาจุดที่ขึ้นรถ CAT หรือ Free bus ที่วิ่งรอบตัวเมืองไม่ได้ซะที
จนกระทั่งจะลองถามที่บูท information ดู แต่คิวยาวมาก เพราะมีคนต่อคิวเพื่อซื้อตั๋ว ไปไหนก็ไม่รู้ พวกเรายืนรอไป คุยกันไป เราถาม “ดูมาว่าไงอ่ะ มันต้องเขียนหน้ารถว่าไงอ่ะ”
สามีตอบ “ก็ต้องมีเขียนว่า CAT หรือคำว่า Free bus” มีชายวัยกลางคนก็หันหน้ามาแล้วชี้ๆมาที่ป้ายข้างๆบูท information แล้วก็ทำท่าคล้ายๆกับว่า
รอตรงนี้แหละ Free bus ที่พวกเธอรอน่ะ เดี๋ยวก็มา เราก็เลยอ๋อ ขอบคุณเขา ส่วนเขาก็รอรถฟรีเหมือนกันน่ะสิ
.
พูดถึงเรื่องรถเมล์ ลักษณะภายนอกของรถเมล์ทั้งที่ปีนัง และที่กัวลาลัมเปอร์ มีลักษณะเหมือนกันหมด ทั้งสี ทั้งภายในตัวรถ ดูใหม่
ถึงจะไม่ได้สะอาดเหมือนญี่ปุ่น แต่ก็ยังสะอาดกว่าไทยมาก แถมติดแอร์ทุกคัน มารยาทในการขับรถของคนขับรถเมล์ก็ถือว่าถูกฝึกมาอย่างดี
ไม่ปาดซ้าย ปาดขวา จอดตรงป้าย ผู้โดยสารจะต้องขึ้นด้านหน้า ถ้าเป็นรถเมล์ที่เสียเงิน ก็ต้องเตรียมเหรียญให้พอดี ไม่มีทอน
โดยขึ้นมาแล้วบอกคนขับว่าจะไปลงไหน เขาจะฉีกตั๋วรถเมล์ ที่ดูเป็นการเป็นงาน และกระดาษแข็ง กว่าไทยเยอะ
ไม่เหมือนกระดาษเช็ดก้นแบบบ้านเรา พอบอกว่าจะลงไหน รู้ราคาแล้วก็หยอดเหรียญลงกล่องข้างคนขับไปเลย
คงไม่มีใครคิดโกงมั๊งแค่ไม่กี่เหรียญเอง ค่าโดยสารก็ถือว่าถูกมาก ถ้าเทียบกับค่าครองชีพของบ้านเขา ซึ่งดูเหมือนจะสูงกว่าไทย
ส่วนเรื่องประกาศว่าถึงไหนแล้ว ไม่มีนะ มีแต่ป้ายที่ป้ายรถเมล์เขียน เป็นตัวเลข และชื่อป้ายไว้ แต่บางป้ายที่จอดก็ไม่มีป้าย
ถ้าเมืองใหญ่กว่านี้คงได้มีหลงกันแน่ แต่พอดีตัวเมืองจอร์จทาว์นเล็กนิดเดียว แล้วก็นั่งรถเมล์ฟรี วิ่งวนแต่ในเมื่องเล็กๆ
นั่งเลยก็เดี๋ยววนกลับมาใหม่ยังได้ พวกเรานั่งไปไม่ต่ำกว่า 3 รอบ
พูดถึงสภาพบ้านเรือนระหว่างนั่งรถ ก็ดูธรรมดานะ คล้ายๆกทม.บ้านเรา ในเขตุฝั่งธน แต่ดีกว่าตรงที่มีตึกสไตล์ยุโรปเก่าๆ มาแซมๆบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ดูสภาพถนน ข้างทาง ก็ยังดูระเกะระกะ ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่
สถานที่แรกที่เราจะลงคือป้าย Kota Cornwallis เพราะอยากดูวิวทะเล ส่วนป้อมปืน ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
พวกเราเป็นพวกไม่อินกับประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง แต่พอไปถึงแล้วก็พยายามดูให้ทั่วๆ แล้วก็เริ่มอินกับสถานที่มากขึ้น
เพราะได้เซฟประวัติความเป็นมาไว้ในโทรศัพท์ แล้วก็ค่อยอ่านไป เดินดูไป (ขอไม่พูดถึงประวัตินะ เพราะหาดูกันง่ายๆอยู่แล้ว)
แต่ที่แปลกคือ มีทัศนศึกษาของนักเรียนวัยประถมชาวญี่ปุ่น มาเป็นกลุ่ม พวกเราเลยสงสัยกันว่า
เด็กญี่ปุ่นเขาทัศนศึกษาต่างประเทศกันเลยหรอ ทีแรกนึกว่าชาวจีนที่อยู่ที่ปีนังอยู่แล้ว แต่ได้ยินคุณครูอธิบายให้เด็กๆฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น
ระแวกนั้นยังมีทัวร์จีน ที่เป็นผู้สูงอายุทั้งกลุ่ม ล้อมวง ถ่ายรูปกับต้นไม้ที่มีรั้วล้อมรอบ แสดงว่าต้นไม้นี้จะต้องมีสตอรี่อะไรแน่ๆ
พยายามจะแหวกชะโงกไปดูบ้าง แต่ก็ไม่เห็นมีเขียนอะไรไว้เลย
หลังจากที่พวกเราชมป้อมปืนจนทั่ว ให้คุ้มค่าเข้าคนละ 20 บาทแล้ว ก็เดินเรียบชายฝั่ง ที่มีแต่ขยะลอยเต็มไปหมด
ขวดน้ำ ถุงพลาสติก ไม่รู้ฝีมือนักท่องเทียว หรือคนในพื้นที่กันนะ
ระแวกนั้นสามารถเดินได้เรื่อยๆ มี City Hall และ หอนาฬิกา เป็นการเดินเล่นชิวๆเรื่อยๆเปื่อยๆ
กลับมารอรถ CAT ที่เดิมตอนที่ลง ตั้งใจจะไป Feri แต่รอตั้งนานแล้วก็ยังไม่มาซะที เลยตัดสินใจ เดินไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไกลเท่าไหร่
แต่เนื่องจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ก็ทำให้เหนื่อยพอสมควร คิดดูว่าเดินจากป้ายหมายเลข 18 สีเขียว ไปยัง ป้ายหมายเลข 2 สีแดง หรือก็คืออีก 3 ป้ายนั่นเอง
รถเมล์ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเขียนว่า Jetty ไม่เคยเห็นเขียนว่า Feri เลย ที่นี่จะเหมือนท่ารถสายใต้เก่า
ที่เป็นศูนย์รวมของรถเมล์ รวมถึง CAT ก็จอดป้ายนี้ด้วย ถัดไปข้างๆ ก็เป็นท่าเรือที่จะข้ามไปฝั่งแผ่นดินใหญ่ ข้ามได้ทั้งรถยนต์ และคนพร้อมๆกัน ทีแรกคิดจะลองขึ้นเรือไปอีกฝั่งเหมือนกัน แต่เห็นดูไม่ค่อยสวย แล้วต้องรออีกตั้ง 30 นาที ถัดไปเป็นท่าขึ้นเรือใหญ่ๆที่เป็นทัวร์คล้ายๆ Star Cruise ด้วย
จากนั้นตัดสินใจกลับมารอรถ CAT ที่ สถานี Feri (ภาษาอังกฤษของมาเลเซียก็อาจใช้แค่ตัวอักษร แต่คำอ่านก็อ่านแบบมาเลเซีย
เช่น Taxi ก็เป็น Teksi , Ferry ก็เป็น Feri , Restaurant ก็เป็น Restoran , Station ก็เป็น Stesen)
กลับมาที่ CAT ที่จอดรออยู่นานมากไม่ออกรถซะที พวกเราตั้งใจจะลงสถานี Little India ซึ่งอยู่สถานีถัดไปเท่านั้น (จะขึ้นรถทำไมเนี่ยะ)
ที่ต้องขึ้นรถเพราะไม่แน่ใจว่า แถวนั้นจะมีอะไรน่าสนใจรึป่าว แล้วถ้าเกิดเดินไปเอง เกิดหลงขึ้นมา ก็เลยนั่งรถฟรีละกัน
เมื่อรถเมล์ผ่านย่านที่เรียกว่า Little India เห็นรถจอดรอให้คนลง แต่ก็ไม่มีนั่งท่องเที่ยวไหนลงเลย
แล้วก็มองดูแล้ว ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นย่านที่มีคนอินเดีย อาหารอินเดีย ขายของอินเดียเลย มีแต่ตึก อาคารพาณิชย์ทั่วๆไป ไม่คึกคักเลย จึงตัดสินใจไม่ลง
ตั้งใจนั่งต่อไปลง Muzium (Museum) มีฝรั่งนั่งข้างๆ ก็ชะเง้อจะลง พิพิธภัณฑ์เหมือนกัน แต่ปรากฏว่ารถเมล์ไม่ยอมจอด
พวกเราก็นึกว่ายังไม่ถึง ก็นั่งต่อมาเรื่อยๆ จนเห็นป้ายหมายเลข 12 Chowrasta (ซึี่งแปลว่าเลยป้าย Muzium มาไกลแล้ว)
เห็นเป็นตลาดเล็กๆ ดูคึกคักดี เลยลงไปดู ที่ไหนได้เป็นตลาดเล็กๆ เดินไม่ถึง 5 นาทีก็ทั่วแล้ว
มีอาหารแห้ง อาหารสด ปลา เครื่องเทศ บะหมี่ ซึ่งเป็นของที่เราไม่ได้ต้องการ แต่ถ้าใครอยากได้พวกนี้ก็ไปดูก็ได้ อาจจะถูกใจ
จากตลาด Chowrasta เดินไปแถว Komta มีห้างหนึ่งชื่อ Pacific Market มีซุปเปอร์มาเก็ต (ใครอ่านรีวิวที่นี่ตั้่งแต่แรกจะรู้ว่า พวกเราบ้าซุปเปอร์เอามากๆ)
เดินดูของเล่นๆ ก็พบว่าช็อคโกแลตถูกๆ แท่งใหญ่ ไม่เกิน 40 บาท เนยถั่วของโปรด ราคา 80 บาท (ถ้าที่ไทยจะขาย 140 -185 บาท)
คุ้กกี้ท้องถิ่น (เรียกไม่ถูกว่าจะชื่ออะไรดี) เป็นมะพร้าวผสมอะไรไม่รู้ กลมๆ กลับมากินทีหลัง อร่อยมาก
เลยคิดว่าน่าซื้อไว้เยอะๆ กับขนมเหนียวๆ ตอนนั้นจึงหมายตาไว้ก่อน ค่อยกลับมาซื้อจะได้ไม่ต้องเดินถือหนัก
แล้วก็ขึ้นไปดูชั้นบน มีงานออกร้าน บูทชิมฟรี เยอะแยะ เช่น น้ำราดRojak
แต่ละร้านก็จะรสชาติแตกต่างกันไป แต่เป็นรสชาติที่ไม่ถูกลิ้นเราเลย เพราะมันออกรสเผ็ดๆด้วย อาหารส่วนใหญ่จะเป็นของทอด เยอะมากๆ
คนที่นี่ชอบกินของทอดเยอะขนาดนี้เลยหรอ กับขนมหวานเยอะจริงๆ เดินมาเจอร้านเต้าฮวยน้ำขิง
ทีแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นเต้าฮวยน้ำขิง นึกว่าขนมอะไรซักอย่างที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบ เลยลองซื้อมากินดูถ้วยนึง 1 ริงกิต
พอมาลองกินถึงได้รู้ว่า โถ่เอ๊ย ก็แค่เต้าฮวยเองหรอกหรอ แถมน้ำขิงก็หวานเหมือนน้ำเชื่อม เย็นชืดๆ จะเย็นก็ไม่เย็น จะร้อนก็ไม่ร้อน
น้ำก็หวานมากเกินไปจนเลี่ยน แทบไม่ได้กลิ่นขิงเลย แต่เนื้อเต้าฮวยก็นิ่มๆ พอใช้ได้
แต่ถ้าใครเคยกินเต้าฮวยที่ฮ่องกงแล้ว มันห่างชั้นกันมากอยู่
ความรู้สึกเหมือนเดินห้างในต่างจังหวัดทั่วไป แต่ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ตรงบรรยากาศ ผู้คน และอาหารที่แปลกตา
พอชิมฟรีจนอิ่ม เอ้ย…ดูจนอิ่ม ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อกันดี เพราะตอนวางแผนจะมาที่ปีนัง คิดว่าจะใช้เวลาเยอะกว่านี้
แต่เอาเข้าจริง ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก เลยยืนปรึกษากันว่าจะไปไหนกันดี เปิดแผนที่ดูจึงมาสรุปกันว่า ลองไปปีนังฮิลล์ กันดูมั้ย
ตกลงกันได้ก็เดินไปดูสายรถเมล์ที่ท่ารถ Komta เพื่อจะไป Penang Hill ได้สายรถเบอร์ 204
แต่ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้น Cable car เพราะไม่ได้สนใจมากนัก อีกอย่างดูมาว่าราคาก็แพง ราคาคนละ 300 บาท
แต่ถ้าขึ้นหลัง 1 ทุ่ม ได้ลด 50% แต่ก็จะได้วิวมืดนะ ไม่ค่อยคุ้มด้วย แต่ตั้งใจนั่งไปดูสิ่งแวดล้อมระหว่างทาง
ค่ารถขาไปก็ประมาณคนละ 40 บาท ขากลับอีกคนละ 40 บาท
ส่วนสภาพบ้านเรือนระหว่างทาง ดูจะเหลื่อมล้ำกันพอควร บ้านโทรมๆ เก่าๆ กระต๊อบเล็กๆ ต้นหญ้ารกๆ
แซมด้วยตึกหรูผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด บ้างก็เป็นแฟลตโทรมๆเก่าๆ บ้างก็เป็นคอนโดสวยสูงระฟ้า
บ้างก็เจอคลองน้ำเน่าๆ ขยะลอยเกลื่อน แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นภาพที่ชินตาอยู่แล้วในบ้านเราเอง
ถ้าจะว่าไปบ้านเขาก็ยังดีกว่าบ้านเราที่ มีรถเมล์ดีกว่าหลายเท่าตัว ถึงแม้รถจะติดเหมือนกัน
แต่ไม่ค่อยเห็นการขับรถที่ปาดซ้ายปาดขวา ต้นไม้เยอะกว่าบ้านเรา ถนนก็ดีกว่าบ้านเรา
ระหว่างทางหวังว่าจะนั่งกินลม(รถแอร์กินลมไม่ได้สินะ) ชมวิว แต่ขากลับนั่งหลัับตลอดทางเลย
เพราะมันไกลมาก วิวก็ไม่ได้แปลกตาอะไรมาก นั่งจนเมื่อยก้น จนตื่นมาคิดว่าน่าจะใกล้ถึงแล้ว
แต่มีอยู่ป้ายนึงก่อนถึง Komta มีคนลงเยอะแยะเลย แต่พวกเราไม่ได้ลง คิดว่ารถน่าจะไปจอดที่ Komta ที่เดียวกับที่เราขึ้น
ปรากฏว่าไม่จอดแฮะ มันเลยไปเรื่อยๆ จนเราคิดว่าเอาไงดี เห็นมันเลยไปแล้ว ก็ตกลงกันว่าจะไปลงที่ Feri ที่คุ้นเคยดีกว่า เพราะมีรถ CAT ย้อนกลับมาด้วย
ตั้งใจนั่ง CAT มาซ่อมสถานี Muzium ที่พลาดไปเมื่อเช้า พอลงถูกจุดก็ดีใจ พากันเดินไปดูมิวเซียม
แต่ต้องผงะ เพราะป้ายหน้าประตูที่ปิด ไม่มีคนเลย เขียนว่า หยุดวันศุกร์ อ้าว…วันนี้วันศุกร์ซะด้วยสิ โชคดีจริงๆ ฮือๆ
อุตส่าห์มาซ่อมเควสนี้ได้แล้ว อยากดูมิวเซียมมาก ได้แต่ดูภายนอก เลยเดินฆ่าเวลาไปที่โบสถ์ข้างๆมิวเซียม สวยดี
แต่ไม่เปิดให้เข้าไป อ๊ะไหนๆเวลาก็เหลือ เดินเวียนเทียนรอบโบสถ์คริสต์ซักรอบเถอะ
แผนของเราตอนเย็นจะไปต่อกันที่ Gurney Plaza เพราะจะมีห้าง และร้านขายอาหารริมทะเล
แต่ร้านแถวนั้นจะเปิด 6 โมงเย็น ถ้าไปก่อนก็อาจยังไม่เปิดกัน ตอนนี้เวลาประมาณเกือบ 5 โมงแล้ว
แต่ต้องกลับมารับกระเป๋าที่โรงแรมตอนไม่เกิน 2 ทุ่ม เผื่อเวลานั่งรถไปสนามบินอีก 40 นาที
แต่ก็ต้องเผื่อเวลารถติดด้วยอีก เพื่อไปให้ทันเครื่องออกตอน 3ทุ่ม 50นาที
ดังนั้นสรุปแล้ว เรามีเวลาให้ที่ Gurney ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
.
กลับมาที่การเดินทางจาก Komta ไป Gurney Plaza ของพวกเรากัน
ตอนหาข้อมูลก่อนมา ต้องนั่งสาย 304 ไปลงหน้า Gurney plaza แล้วก็ไปดูที่ป้ายก่อนขึ้นอีกที
ดูหน้ารถก็เขียนว่า Gurney ก็ขึ้นไปแต่คนขับบอกว่า ให้ไปขึ้นสาย 101 นู่น
เราก็งง? ทำไมอ่ะ ก็เขียนอยู่หน้ารถว่า Gurney สาย 101 ไม่เห็นเขียนซะหน่อย
แต่ก็เขาบอกมาอย่างนี้ จะให้ดื้อขึ้นรึไง นั่งจ้องไปตลอดทาง กลัวเลยป้าย นั่งได้ไม่นานอย่างที่คิด (นึกว่าจะนานกว่านี้)
ก็เห็นห้าง Gurney Plaza ทางขวามือ ก็กดกริ่งลง
พูดถึงการกดกริ่ง สังเกตุได้อย่างนึงว่า คนที่นี่เวลาจะลงป้าย เขาไม่ต้องมาเตรียมตัวลง มาจ่อที่หน้าประตูเหมือนรถเมล์บ้านเรา
ที่กระเป๋ารถเมล์จะกระทุ้งให้มาเตรียมตัวลงไว้เลย แต่ที่นี่ ก่อนจะถึงป้าย คนจะกดกริ่ง แล้วนั่งรอให้รถหยุดสนิท แล้วค่อยยกก้นลุกขึ้น
รถเมล์ก็ไม่ได้รีบร้อน เร่งเครื่อง ทำเหมือนจะรีบไปเหมือนบ้านเรา
ลองนึกภาพออกกันมั้ย ภาพรถเมล์ไทย เสาวรีย์ค่ะเสาวรีย์คนก็จะต้องลุกมายืนออกัน กระจุกที่ประตู รถปาดซ้าย ปาดขวา
เราก็เอียงซ้าย เอียงขวา หน้าคะมำเวลารถเบรก กระตุกเวลารถขยับ อยากจะอาเจียร คนก็ต้องมายืนเบียดอัดแน่นกัน
ทั้งๆที่รถยังไม่จอดถึงป้าย ทำไมก็ไม่รู้ เหมือนถ้าไม่รีบมารอลงรถ จะลงไม่ทัน ไปจะไหม้ รถจะระเบิดอย่างงั้นแหล่ะ
แต่ที่นี่ลองนึกภาพดูนะ คนกดกริ่ง นั่งรอ อีกคนกดอีกแล้ว กดกันทำไมหลายครั้ง คนขับก็ไม่ตะโกนด่าด้วยนะ
รถกำลังชะลอเพื่อหยุดป้าย (ค่อยๆหยุดด้วยนะ ไม่กระชากเหมือนบ้านเรา) แต่ยังไม่มีใครลุก พอรถหยุดสนิทเท่านั้น ลุกกันพรึบพลับ
แล้วก็ค่อยๆลงด้วย คนขึ้นก็ขึ้นประตูหน้า คนลงก็ลงประตูหลัง ไม่ต้องรีบแย่งกันขึ้น แย่งกันลง คนลงกันหมด ประตูปิด รถค่อยออกตัว
ถ้าเป็นบ้านเรานะ คนยังลงไม่ทันหมดเลย ไปซะแล้ว ไม่ต้องพูดถึงประตู ค่อยไปปิดเอากลางทาง ไม่รู้จะรีบไปไหนนะ รถเมล์บ้านเรา
พวกเรามาถึง Gurney Plaza ซึ่งเป็นฝั่งที่ติดถนน เดินเข้าห้างไปทะลุอีกฝั่ง ที่ติดทะเล หรือเขาเรียกว่า Gurney Drive
ในห้างนี้ มีซุปเปอร์มาเก็ตชื่อ Cold Storage อยู่ชั้น B1 ซื้อพิซซ่า มากินรองท้องกันก่อน
(รสชาติแปลกๆ ชีสเลี่ยนๆ แต่พอรับได้ อร่อยไปอีกแบบ แต่ไม่ถึงอร่อยขั้นเทพ)
เพราะตอนนี้แค่ 5 โมงครึ่งเอง ตั้งแต่อาหารเช้าก็ไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราว กินแต่น้ำผลไม้ กับน้ำเปล่า เพื่อเก็บท้องไว้กินที่นี่แหล่ะ
แต่คิดว่าตลาดที่ขายอาหารยังไม่เปิด เลยซื้อแฮมเบอร์เกอร์มากินกันก่อน
แต่ลืมนึกว่าจะนั่งกินตรงไหนดี เดินหาที่นั่งกินตั้งนาน ก็ได้ม้านั่งที่เพิ่งมีคนลุกไป
นั่งกินไป พักขาไปพลางๆ (มารู้ทีหลังว่ามี Food court อยู่ใกล้ๆ นั่งกินได้)
เสร็จแล้วก็เดินเล่นในซุปเปอร์ได้นิดหน่อย ได้ขนมปัง และแฮมเบอร์เกอร์ เก็บไว้เป็นเสบียง
6 โมงกว่าๆ ก็ออกมาจากห้างด้านที่ติดทะเล แล้วเลี้ยวซ้าย ไม่กี่เมตร ก็เจอร้านขายอาหารเยอะแยะไปหมด
มีโต๊ะเก้าอี้นั่งกลางแจ้ง รับลมทะเล(ปนควันรถ) เดินดูรายการอาหารเป็นประมาณ บะหมี่ (ซึ่งเราไม่ชอบ) และของทอด (ก็ไม่ชอบอีก)
เป็นส่วนใหญ่เลย ทำไมคนที่นี่ถึงชอบกินของทอดกันนักนะ
แต่สุดท้ายก็มาจบที่ร้านข้าวแกง ติดใจจากคืนแรก ข้าวแกงก็จะแตกต่างกันในแต่ละร้าน
แต่ที่เหมือนกันทุกร้านคือ ไม่มีผัดผักเลย มีแต่เนื้อปลาคลุกกับแกงสีต่างๆข้นๆ เนื้อไก่บ้าง หาผักกินแทบจะไม่มีเลย
จะได้กินผักผลไม้ก็ต้องไปซื้อ Rojak นั่นแหล่ะ รสชาติแกงขอยกให้เลย อร่อยมากๆ
เนื้อไก่ทำยังไงให้รสชาติเหมือนหมูก็ไม่รู้ ปลาก็อร่อย ไม่มีก้างฝอยให้กวนคอ เนื้อแกงข้นๆ ก็กลมกล่อม
แต่เมล็ดข้าวไม่ได้เรื่องเลย จริงๆอยากกินโรตีมากกว่า ตอนแรกนึกว่าที่นี่จะมีขายโรตี กันเกลื่อน ที่ไหนได้ หายากมาก
ส่วนใหญ่จะเป็นบะหมี่อะไรไม่รู้ อากาศก็ร้อนอบอ้าวอยู่แล้ว กินบะหมี่ยิ่งเหงื่อแตกพลั่กๆ
ส่วน Rojak น้ำจะข้น และดำกว่าที่สิงคโปร์ มีรสเผ็ดนิดๆ อร่อยไปอีกแบบ
แต่พวกเราชอบ Rojak ของที่กินที่สิงคโปร์มากกว่า เพราะน้ำมันหวานๆ เครื่องก็เยอะกว่า อร่อยกว่า
สรุปแล้ว ร้านขายอาหารที่ Gurney ไม่หลายหลายเท่าที่จินตนาการไว้ (แต่ก็เยอะนะ มีประมาณ 40 ร้านขึ้นไป แต่ขายแบบซ้ำๆกัน)
ความคิดเห็นส่วนตัว ที่สิงคโปร์มีหลากหลายกว่า อินเตอร์กว่า ทั้งแบบญี่ปุ่น ฝรั่ง จีน อินเดีย
แถมที่สิงคโปร์ยังมี Ice Kajang ที่หลากหลายมาก อร่อย ได้เยอะด้วย
แต่ที่นี่ มี Ice Kajang เหมือนกันแต่มีแค่เมนูเดียว
นอกนั้นก็เหมือนน้ำแข็งใสใส่เครื่องทั่วไป (น้ำแข็งทุบ ไม่ใช่น้ำแข็งใสด้วยนะ)
เอาเป็นว่าพอใจกับที่นี่ในเรื่องร้านขายอาหาร ระดับนึง 6/10 แต่ที่สิงคโปร์ให้ 8/10
1ทุ่มกว่าๆแล้ว ได้เวลาหารถกลับไป Komta แล้ว จากการหาข้อมูลมาล่วงหน้า สาย304
น่าจะผ่านหน้าห้าง Gurney plaza แต่ดูจากป้ายรถเมล์หน้าห้างแล้ว ไม่มีคนยืนรอเลย และไม่มีรถเมล์ผ่านซักคัน
เห็นคนนึงกำลังจัดเตรียมขายอะไรไม่รู้ใส่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เลยเข้าไปถามเขา ได้ความมาว่า
ต้องไปรอที่ป้ายนู้นนน ชี้ไปซะไกลเลย พยายามอธิบายว่าต้องเดินข้ามถนน เห็นตึกสีนั้นมั้ย เดินข้าม 4 แยกนี้ไปนะ
แล้วไปรอที่หน้าตึกนั้นนะ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่พอจับใจความได้ เดินๆไปตามนั้นก่อน ค่อยไปถามเอาดาบหน้า
พูดถึงการถามทาง สังเกตุได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า คนเดินถนน
แม้แต่คนที่ดูท่าทางไม่ค่อยดี แต่งตัวซอมซ่อ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคนนะ
ที่สำคัญคือ ไม่อาย ไม่บื้อใบ้ อันนี้เป็นแค่ข้อสังเกตุของคนคนเดียวนะ อาจไม่ถูกต้องก็ได้
ที่บ้านเมืองเรานะเคยเห็นฝรั่งถามทางคนบนรถเมล์ ก็มีแต่คนปัดมือ ส่ายหน้า แล้วก็เดินหนี
แต่ที่นี่นะ ต่างชาติถามทาง ก็คุยกันปกติ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่ไม่ได้เงียบแล้วเดินหนี
พูดภาษาอังกฤษกันคล่องมาก ไม่จำเป็นต้องสำเนียงฝรั่ง แต่คุยกันรู้เรื่อง
คือถ้าเป็นคนทำงานออฟฟิศ แต่งตัวดีๆ ก็ไม่น่าแปลกหรอก แต่ทั้งแม่ค้า พ่อค้า แท็กซี่ พนักงานขายตั๋ว
วัยรุ่น คนที่ดูท่าทาง การแต่งตัวชาวบ้านมากๆ ค่อนไปทางโทรมๆด้วยซ้ำ ยังพูดภาษาอังกฤษคล่องปร๋อเลย
พวกเราเดินจากป้ายรถเมล์หน้าห้าง Gurney Plaza ถ้าหันหน้าเข้าหาทะเล
ก็ตรงไปทางซ้ายของห้างเรื่อยๆ จะเป็นร้านขายอาหารที่เรานั่งกิน เดินไปอีกไม่กี่เมตร ก็เป็น 4 แยก
เห็นตึกชื่อ Sunrise ก็ข้ามถนนไปอีกฝั่ง แต่ก็ไม่เห็นป้ายรถเมล์เลย ไม่มีคนยืนรอเลย
เดินไปอีกนิด ก็เจอผู้ชายแต่งตัวดีๆ ยืนรออะไรไม่รู้ ก็เลยเข้าไปถาม
เขาให้ไปรอตรงเลยหัวมุมถนน ที่มีลูกศรที่พื้นตรงนั้นแหล่ะ รถทุกคนที่จอด
จะไป Komta ทุกคัน (แต่ไม่เห็นมีป้ายรถเมล์เลยนะ)
แต่ก็ยืนรอตามนั้น เริ่มมืดแล้วด้วย รถเมล์จะเห็นเรามั้ยนะ จะจอดมั้ยนะ จะไปทันเวลามั้ยนะ กังวลไปเรื่อย
รอได้ซํก 10 นาที ก็มีรถเมล์วิ่งผ่าน ด้วยความดีใจ กลัวเขาไม่จอด ก็เลยยื่นมือไปโบก เหมือนอยู่ที่บ้านเรา
สามีบอก เฮ้ย…ไม่ต้องโบก ถ้าจะจอดก็จอดเองแหล่ะ เราก็ เออ..ใช่ ลืมไป นึกว่าอยู่บ้านเรา
สุดท้ายแล้ว ก็ขึ้นไปถามให้แน่ใจก่อนว่าไป Komta มั้ย ก็โอเค ไปโลด
นั่งไปจนเกือบถึง Komta ระหว่างทางเห็นตลาด และสิ่งแวดล้อมคุ้นๆ ก็เอะใจ
แล้วสะดุ้งตรงที่เห็นชื่อโรงแรม Sentral Georgetown ร้องเฮ้ย…นี่มันโรงแรมเรานี่หว่า
ลงเลยๆ กดกริ่ง ลงป้ายที่เลยโรงแรมมานิดนึง ดีไม่ต้องเลยไปถึง Komta แล้วต้องเดินย้อนกลับมาใหม่ ไม่เสียเวลาด้วย
หลังจากรับกระเป๋าเสร็จ ซึ่งกว่าจะเดินออกจากโรงแรม ก็เวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้ว
ยังต้องลากกระเป๋าเดินไปท่ารถที่ Komta ด้วย ร้อนรนกลัวไม่ทันมากๆ
เหลือเวลานิดหน่อย ยังอุตส่าไปที่ซุปเปอร์มาเก็ต Pacific Market ที่มาตอนบ่าย
เพื่อซื้อของที่เล็งไว้ ขนมปัง และคุ้กกี้ ขนม ช็อคโกแลตแท่งไว้ รีบหยิบ รีบจ่าย
ได้เบเกอรี่ลด 50% มาด้วย เพราะเขากำลังปิดร้าน
พูดถึงเรื่องซื้อของนิดนึง ที่นี่เขาจะไม่ให้ถุง เหมือนทั้งที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ที่เคยไปมา
ถ้าจะเอาถุงต้องซื้อ 20 เซ็นต์ (2 บาท) แต่พวกเราก็รู้อยู่แล้ว เตรียมถุงไปใส่อยู่แล้ว
พวกเราเริ่มนิสัยไม่รับถุง และนำถุงติดตัวไปซื้อของเสมอที่ไทย ตั้งแต่ตอนไปฮ่องกงแล้ว
เห็นว่าอย่างน้อยก็ช่วยโลกได้ เอาถุงมาก็ทิ้ง เก็บไว้ก็เกะกะ เต็มบ้านไปหมด นี่ขนาดไม่ค่อยได้รับถุง ยังเหลือเฟือ
แต่ที่แปลกอยู่อย่างคือ ที่ไทยเวลาเราซื้อของแล้วไม่เอาถุง คนขายถ้าเป็นพนักงานทั่วไป
ก็จะทำสีหน้าแบบว่ารำคาญ เหมือนเขาเคยชินกับการจับของใส่ถุง
พอเราบอกเขาว่าไม่ต้องใส่ถุงแทนที่จะขอบคุณ หรือดีใจ กลับเหมือนเราทำให้เสียระบบที่เขาเคยทำประจำ
แต่ถ้าไปซื้อของร้านที่เป็นเจ้าของขายเอง เขาจะยิ้มแล้วขอบคุณเราด้วย บางร้านก็บอกว่าไม่เอาถุงหรอ ทำไมล่ะ
พอเราบอกว่าเอาถุงมาเอง เขาก็ทำหน้าเหลือเชื่อ แต่ถ้าใครได้ไปเห็นที่ต่างประเทศบ่อยๆ
มันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว รู้กันว่าเขาไม่ให้ถุงนะ แม้แต่เซเว่นก็ไม่ให้ถุง
บางคนคิดว่าที่ไทยจะกระแดะไม่รับถุงไปทำไม เขาให้ฟรีไม่ได้เสียเงินเพิ่มซะหน่อย
พวกเราคิดว่า เป็นการทำบุญให้โลก ทำบุญโดยการไม่สร้างขยะเพิ่ม
พวกเราไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรที่ช่วยประเทศได้ ไม่เก่ง ไม่ฉลาด
แต่อย่างน้อยก็พยายามไม่สร้างปัญหาได้นี่ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญได้นะ
ทำเท่าที่ทำได้ อะไรพอทำได้ก็ทำ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก
พวกเรารีบลากกระเป๋า ไปที่ท่ารถ Komta แล้วนั่งรอรถเมล์สาย 401E ที่เล็งไว้ตั้งแต่ขามาแล้วว่าต้องรอป้ายนี้
(คือถ้าหันหน้าเข้าท่ารถ จะเป็นชานชานลาด้านซ้ายมือสุด ล็อคสุดท้าย ในสุด เลนที่5 ติดกับร้านสะดวกซื้อ ที่มีคนนั่งรอกันเยอะ)
เพื่อไปสนามบินปีนัง แต่รอนานมาก จนตอนแรกคิดว่ารถหมดซะแล้ว
แต่ก็ยังเห็นคนถือกระเป๋านั่งรอเหมือนกันเลยมั่นใจขึ้น พอรถเมล์มา คนก็กรูกันแย่งกันขึ้น
ที่นี่แม้จะดีกว่าไทย แต่ก็ยังไม่ค่อยมีระเบียบ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนไทยหรอก ชินแล้ว
นั่งรถเมล์ใช้เวลา เกือบ 1 ชั่วโมง มาถึงสนามบินปีนัง ซึ่งขณะนี้เป็นเวลา 3 ทุ่มนิดๆแล้ว
กำหนดเครื่องออก 3ทุ่ม 50 นาที ยังเหลือเวลาอีก แต่ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เดินขึ้นชั้น 2 เดินเข้าได้เลย
เพราะเช็คอินล่วงหน้ามาแล้วจากดอนเมือง เดินอีกนิดก็ถึง Gate แล้ว
ปีนังในจินตนาการต่างจากที่เห็นมาก เพราะจากที่คิดจะมาปีนังเพราะ
นึกว่าจะมีของที่น่าสนใจ พวกขนม ของกินที่เยอะมากๆ (อาจเยอะสำหรับคนอื่น แต่ไม่ตรงสเป็คเรา)
มีตลาดใหญ่ๆ มีตึก มีถนน ที่ดูคึกคัก แต่ยังไม่เจออย่างที่จินตนาการไว้ เรื่องศิลปะตามผนังที่ขึ้นชื่อ
ยังไม่เข้าขั้นให้เราสนใจได้ ถนนสกปรกกว่าที่คิดไว้ แต่ยังดีที่ฝนไม่ตก
แม้อากาศจะร้อนแค่ช่วงแป๊บเดียว พอตกบ่ายๆก็ไม่ค่อยร้อนมากแล้ว ถือว่ายังชื้นกว่าไทย
บ้านเรายังกะเตาอบ 5โมงเย็นแล้วยังระอุอยู่เลย อย่าหาว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เรื่องมาก ติโน่น ตินี่เลยนะ
เพราะเข้าใจว่า การไปเที่ยวก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ที่นั่นเป็น เราก็ยอมรับ และรู้สึกสนุกกับการเดินทาง
เปลี่ยนมุมมอง เห็นสิ่งที่แตกต่าง แต่ที่เขียนบรรยายมานี้ ก็เพื่อบันทึกความทรงจำตัวเอง
และแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่อวย ไม่เว่อร์ แบบว่าอะไรๆก็ดีไปหมด
ของจริงไม่สวย แต่ถ่ายรูปออกมาซะสวยน่าไป
ถ้าถามว่าอะไรที่รู้สึกดีกับปีนัง (นึกนานนิดนึง) น่าจะเป็นเรื่องรถเมล์ที่เป็นแอร์ สะอาด(กว่าบ้านเรา) มารยาทในการขับรถ และโรงแรมถูก
นี่คือความคิดเห็นส่วนตัว ที่แต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน บางคนมาแล้วอาจชอบในสิ่งที่เราไม่ชอบก็ได้นะ
อย่างไรก็ตาม คนที่ยังไม่เคยมา ก็ต้องมาสัมผัสให้รู้ด้วยตัวเองก่อนจะตัดสินตามคนอื่นนะ
แต่ก็ทำให้ได้จำจนฝังใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะหาข้อมูลมาดีแค่ไหน มี GPS ติดตัว ยังไงก็ต้องใช้ปาก ถามตลอด ถึงจะได้คำตอบตามที่เรารู้อยู่แล้วก็เถอะ
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ