ทัวร์บนบก ที่กระบี่
ก่อนอื่นก็ต้องดูก่อนว่า ทัวร์บนบก ที่กระบี่ มีอะไรน่าเที่ยว ส่วนใหญ่ทัวร์เขาพาไปไหนบ้าง
ปรากฏว่ามีที่เด่นๆคือ วัดถ้ำเสือ สระมรกต น้ำตกร้อน สุสานหอย
และด้วยความใฝ่รู้(จริงๆคือ”งก”) จึงอยากเก็บให้หมดทุกที่
ถ้าลองเปรียบเทียบ ไปกับทัวร์ ค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 750-850 บาท
ถ้าเราสามคนก็รวม 2250 – 2550 บาท ดูดิมันแพงเว่อร์มั้ยล่ะ
ทัวร์เรือมันก็จำเป็นต้องจ่ายอ่ะนะ หรือถ้ามีให้เช่าเรือขับเองคงขับไปแล้วล่ะ(555+)
ส่วนค่าเช่ารถ+ค่าส่งรถ+ค่าน้ำมัน 1 วัน รวมหมดแล้ว 1200 บาทเอง
ถ้าจะให้เดินเล่นอยู่แต่หาดแถวๆที่พัก รอเวลากลับอย่างเดียว มันก็น่าเสียดายเวลา
แล้วยังไงก็ต้องจ้างรถไปส่งสนามบินอีก 600 บาท แบบนี้เช่ารถขับเอง ก็คุ้มเห็นๆ
ทีนี้ก็ต้องมาคิดเรื่องว่าจะไปไหนบ้างดี ก็ลองคำนวณเวลา
โดยดูจากกูเกิลแมพ ว่าไปตรงนี้กี่นาที ตรงนั้นกี่นาที
แล้วก็บวกเวลาขับช้า ขับหลงไปอีก
ปรากฏว่าถ้าจะเก็บให้หมด ต้องออกจากโรงแรม 6 โมงเช้าล้อหมุนแล้ว(โหดป่ะ)
แต่เรื่องรถ เนื่องจากเมื่อวานเป็น ทัวร์เกาะห้อง
ได้นัดให้ทางเจ้าหน้าที่ของ Budget เอารถมาส่งตอน 4โมงครึ่ง
แต่ก็มาเลยเวลานิดหน่อย เพราะเขาต้องหาที่จอดนาน
แถวนั้นไม่ค่อยมีที่จอดรถเลยด้วย
ไปเริ่มต้นที่แรกกัน…
ขับรถเที่ยว ที่แรก : สุสานหอย
วันรุ่งขึ้น โปรแกรมทัวร์ของพวกเราจะเรียกว่า “ชะโงกทัวร์” ก็ไม่ผิด
โดยเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า มุ่งหน้าสู่ สุสานหอย
บางคนจะคิดว่าเช้ามืดขนาดนั้น จะมองเห็นหอยมั้ยล่ะ
ไม่เห็นหรอก เพราะไม่ได้ลงไปที่หาด
วนรถเข้ามาแค่ที่จอดรถ เดินไปทางเข้าที่เก็บค่าเข้าเฉยๆ
จริงๆถ้าจะแอบเข้าไปก็ไม่มีใครรู้หรอก เพราะไม่มีใครเลย
แต่ไม่อยากโกงเขา แล้วก็ไม่อยากเสียเวลามาก
เพราะพวกเราเขียนเวลาที่ชัดเจนไว้แล้ว
ว่าจะต้องออกจากที่นั่นที่นี่ไม่เกิน กี่โมง ให้เวลากี่นาที
ฉะนั้นถ้าไม่รักษาเวลา ที่ถัดๆไปก็จะอด
ถาม-ตอบกับเจ้าหนูจำมัย
ทำไมเขาถึงเรียกว่าสุสานหอย?
– ก็เพราะมันคือซากของหอยมาทับถมกันเป็นชั้นๆ
แล้วมันแปลกตรงไหน ?
– ก็เขาว่ามันเป็นหอยเมื่อ 75 ล้านปีก่อนนั่นเอง เรียกว่าเป็นฟอสซิลเลยทีเดียว จะว่าไปหน้าตาหอยยุกดึกดำบรรพ์ ก็ไม่ได้ต่างกับหอยสมัยใหม่ซักเท่าไหร่เลยนะ
โหย…75 ล้านปี เป็นไปได้หรอ? ยุคหลังไดโนเสาร์จะสูญพันธ์เลยนะ (ยุคไดโนเสาร์ประมาณ 300ล้าน-65 ล้านปีก่อน)
– จริงๆก็มีนักวิชาการ นักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสต์ สมัยใหม่ที่มีวิทยาการ การสำรวจมากขึ้น ก็ออกมาแก้แล้วนะว่า เหลืออายุหอยแค่ 45 ล้านปีก่อน แต่ทางจังหวัดก็ยังไม่ได้แก้ป้าย ก็จะรีบแก้ไปทำไมล่ะ 75 ล้านปีมันฟังดูน่าสนใจกว่าเยอะเลยนี่
ถึงจะลดอายุลงเหลือ 45 ล้านปี ก็น่าทึ่งอยู่ดีนั่นแหละ เป็นไปได้ยังไงกัน ตอนนั้นแผ่นดินไทยยังอยู่ไหนก็ไม่รู้
งั้นเราไปดูกันว่าเป็นไปได้มั้ย ไปดูโลกเมื่อ 600 ล้านปีก่อน
จริงๆ แล้วสุสานหอยบริเวณนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
ยังมีอีกหลายจุด และเป็นแนวยาว เวลาน้ำลด ก็จะเห็นชั้นหิน ที่มีหอยซ้อนทับๆกัน
เหมือนปฏิมากรรมชิ้นเอกของโลกเลย (พูดเหมือนเห็นกับตาแน่ะ…คือดูจากรูปน่ะ)
ขับรถเที่ยว ที่ที่สอง : ตลาดมหาราช เมืองกระบี่
หลังจากให้เวลากับสุสานหอยแค่ 15-20 นาที
ก็มุ่งหน้าต่อไปยัง ตลาดมหาราช ในตัวเมืองกระบี่ เพื่อกินข้าวเช้า
ขับไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกไม่ไกลนะ อากาศก็ดี รถก็ไม่เยอะ ชิลสุดๆไปเลย
ใช้เวลากินข้าว และซื้อของกิน เพื่อไปกินที่สระมรกต ประมาณ 1 ชั่วโมง
สงสัยยังเช้าอยู่ด้วย ร้านค้า ห้างอะไรก็ยังไม่เปิดกัน
แต่กลางคืนน่าจะคึกคักน่าดู มาคิดๆดูอีกทีแล้ว พวกเราน่าจะมาพักในตัวเมืองนะ
เพราะเวลาไปทัวร์เรือ เขาก็มารับมาส่ง ถึงจะพักใกล้หาด แต่ไม่มีเวลาเดินหาดเลย
แถมในตัวเมือง มีของกินเยอะ ถูกกว่าแถวอ่าวนางด้วย
ขับรถเที่ยว ที่ที่สาม : วัดถ้ำเสือ
จริงๆแล้วไม่ได้ชอบเที่ยววัดเล้ย แต่พอดีที่นี่เป็นทางผ่าน ที่ต้องผ่านอยู่แล้ว เลยวกเข้ามาซักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ประวัติวัดถ้ำเสือ ต.กระบี่น้อย จ.กระบี่ (คัดลอกมาจากป้ายในวัด)
บริเวณถ้ำเสือตรงนี้ และบริเวณลานปากถ้ำข้างล่าง
แต่ก่อนเป็นสถานที่ที่เสือได้มาหลบอาศัย และนอนตากแดนในช่วงเช้า
(สงสัยจะเสือฝรั่งนะ ชอบอาบแดด) และส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วบริเวณ
ทำให้คนที่มาหาของป่า ล่าสัตว์ ได้ยินเสียงเสือร้องคำราม
จึงเรียกสถานที่บริเวณนี้ว่า “ถ้ำเสือ”
ต่อมา หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ ประธานสงฆ์ของวัดถ้ำเสือ
ได้นำคณะพระภิกษุ และแม่ชีเข้ามาอยู่อาศัย ปฏิบัติธรรมในปี พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975)
เมื่อมีพระภิกษุ และแม่ชี เข้ามาอยู่ จึงทำให้เสือที่เคยอาศัยอยู่
ได้หลบไปทางเทือกเขาพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับเทือกเขาถ้ำเสือ
จนปัจจุบันก็ไม่มีใครเคยพบเจอ หรือเห็นเสืออีกเลย
(เสือเขาก็คงกลัวคนแหละ…แต่คนก็กลัวเสือเหมือนกัน ต่างคนต่างกลัวกันและกัน).
บรรยากาศทั่วๆไปตรงทางเข้า กับลานวัดก็เหมือนวัดทั่วๆไปนะ
ที่จอดรถเพียบ จอดกันใต้ต้นไม้ร่มรื่นดี อยู่หน้ากุฏิเจ้าอาวาส(สวยเชียว)
พวกเราไปตอนเช้า ยังไม่มีทัวร์มากันเลย มีคนเดินกันอยู่ไม่กี่คน
แต่จริงๆมันมีมากกว่าที่เห็นแหละ เพราะที่เขาไปกันก็เพราะมีดีให้ดูไง
คือสามารถขึ้นไปบนเขา จะมีบันได 1237 ขั้น นึกไม่ออกใช่มั้ยว่าสูงขนาดไหน
ก็ลองนึกถึงสะพานลอย ขาขึ้นก็น่าจะประมาณ 30 ขั้น
ก็แปลว่าเหมือนขึ้นสะพานลอย 42 รอบ เอ๊งง… จะเห็นวิวรอบๆ สวยๆได้ แต่…
แต่เวลาที่กระชั้นชิดของเรา และแม่ที่แม้แต่จะเดินเข้ามาในวัด ยังไม่เดินเลย
นั่งอยู่ที่ม้าหินหน้ากุฏิเจ้าอาวาสนั่นแหละ กลัวแม่จะรอนาน เลยไม่ได้ขึ้นไป
(ไม่ใช่สังขารไม่ไหวนะ…แต่ไม่มีเวลาจริงจริ๊ง…เชื่อกันมั้ยเนี่ยะ)
พวกเราจึงใช้เวลากับที่นี่แค่ 30 นาทีเท่านั้น เป็นไงล่ะชะโงกทัวร์จีนยังอายเลย
ต่อไป ก็จะมุ่งหน้าสู่ไฮไลท์กันแล้ว ขับรถนานกันหน่อย ใจแป้วนิดๆว่าจะหลงมั้ย
หนทางจะต้องขึ้นเนิน ขึ้นเขามั้ย ขับเป็นเต่าคลานไปเรื่อย safety first !
ขับรถเที่ยว ที่ที่สี่ : น้ำตกร้อน
อยากรู้จริงว่า จะร้อนจนไข่สุกอย่างที่เขาบอกมั้ย
ว่าแต่เริ่มจะสนุกกับการขับรถแล้วสิ ก็ถนนมันกว้างซะขนาดนั้น
รถก็ไม่ค่อยมี ทางข้างๆก็ดูดี บางจุดยังมีตกแต่งด้วยต้นไม้ซะสวยงามเชียว
ส่วนเรื่องกลัวหลง ก็ไม่หลง เพราะมีป้ายบอกทางตลอดทาง
แถมยังมีแต่รถตู้ที่เป็นทัวร์ ยังไงก็จุดหมายเดียวกัน ขับตามเขาไปได้เลย
แต่รถตู้พวกนี้ขับเร็วมาก ตามไม่ค่อยทันหรอก
แต่ก็ไม่เป็นไร มีรถตู้มาเรื่อยๆ ถ้าเห็นรถตู้มาก็แสดงว่า เรามาถูกทางแล้ว สบ๊าย…
ค่าเข้าน้ำตกร้อน สำหรับคนไทย 20 บาท คนต่างประเทศ 90 บาท
ค่าจอดรถยนต์ 20 บาท มอเตอร์ไซค์ 5 บาท ถือว่าถูกมากนะ
ฝรั่งไปแช่น้ำตั้งนาน เก็บแค่ 90 บาท
แต่ก็เขียนให้เห็นชัดเจนดี (ไม่เหมือนสระมรกต)
ถึงแล้วน้ำตกร้อน จัดแต่งสถานที่ได้ดีมากเลยนะ
รถที่มาส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถตู้ ฝรั่งเต็มไปหมด
ตอนเดินเข้ามาจะเห็นบ่อน้ำร้อน มีตัวหนังสือเป็นฉาก ให้ถ่ายรูปได้อย่างสวยงาม
อยู่ไม่ห่างจากทางเข้า เดินไม่กี่เมตรก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ตรงนี้มีคนนั่งแช่อยู่ไม่กี่คน(ฝรั่ง) เลยอยากลองเอาขาจุ่มน้ำดูว่า ร้อนซักแค่ไหน
พอเหยียบลงไปก้าวแรก หึย…รู้สึกจักกะจี๋เท้ายังไงไม่รู้
เหมือนบ่อน้ำที่ไม่ได้ขัดมาร้อยปีแล้ว
ไอ้เราก็นึกแปลกใจว่า จะแช่กันไปทามม๊าย ตะไคร้เกาะเต็มเลย
แค่เอาเท้าเหยียบลงไปก็รู้สึกหยึมๆ หยะแหยงแล้ว (กระแดะไปป่าวไม่รู้)
น้ำมันก็ร้อนจริงๆนะ แต่ไม่น่าจะร้อนถึงขั้นไข่สุกได้เลย
น่าจะประมาณอุ่นๆเหมือนเครื่องทำน้ำอุ่น
ถามแม่ว่าลองลงมาเดินมั้ย แม่บอกไม่เอาดีกว่า
แต่พอเราเดินไปไม่กี่ก้าว (ต้องค่อยๆเยื้องย่างมากเลย…กลัวลื่น)
กำลังคิดอยู่ว่าถ้าลื่นล้มไม่มีชุดเปลี่ยนด้วยนะเนี่ยะ
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียง…ตู้มมมม…
แว๊ปแรกนึกว่าพวกเด็กๆมากระโดนน้ำเล่น
หันไปปรากฏว่าเป็นฝรั่งลื่นก้นจ้ำเบ้า เรายื่นตะลึง ตกใจ
แต่ไม่ใช่ตกใจเพราะฝรั่งลื่นนะ
แต่เป็นเพราะคนข้างๆฝรั่งน่ะ แม่เราเอง
กำลังยืนเกาะหิน เท้าจุ่มน้ำ ตามองฝรั่งลื่น
คิดในใจว่าโชคดีนะที่ไม่ใช่แม่ลื่น ไม่งั้นไม่อยากจะคิดต่อเล้ย
แต่ก็เป็นโชคร้ายของฝรั่งคนนั้น ที่เจ็บก้นไป
(เห็นยืนขึ้นมานวดก้นแล้วก็ I’m alright)
แต่ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันตรงที่ เคยเห็นบ่อน้ำร้อนของญี่ปุ่น
เขาก็ร้อนจากธรรมชาติเหมือนกันนะ แต่ทำไมมันไม่มีตะไคร้เลย
มันน่านอนจริงๆ จะบอกว่าก็เขาขัดทุกวันหรอ แล้วทำไมของเราถึงไม่ขัดล่ะ
ก็อาจเป็นไปได้สองอย่างคือ กลัวทำลายธรรมชาติ
แบบว่ายังไม่มีวิธีทำความสะอาดที่ไม่ทำลายธรรมชาติ
หรืออีกแบบคืองบน้อย เก็บเงินค่าเข้าแค่นี้จะเอาอะไรมาก
แต่ใจแอบอยากให้เก็บแพงขึ้นก็ได้ ถ้ามันสะอาด
มันก็ขายได้ แถมยังปลอดภัยกว่าด้วย
ถึงจะมีป้ายเขียนไว้ว่า ระวังลื่น แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุ
ล้มหัวแตกขึ้นมา ชื่อเสียงหายหมดเลย
แล้วถ้าเกิดมีเด็กลื่นแล้วโชคร้ายจริง เสียชีวิตขึ้นมา เรื่องใหญ่เลยนะ
เพราะเท่าที่เห็น ไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอะไรเลย
เอาล่ะบ่นมากไปแล้ว เดินต่อไปยังน้ำตกร้อนของจริงกันดีกว่า
ระยะทางถือว่าไม่ไกลนะ แต่สำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ถนัดเดิน
ก็มีเหนื่อยได้เหมือนกัน แถมเดินไปพูดไป ก็ยิ่งหอบน่ะสิ
พอเห็นจุดหมายลิบๆ ก็พุ่งเข้าหาเก้าอี้ก่อนเลย
โห…มัน สวยมากเลยนะ ขนาดคนเยอะพลุกพล่าน ยังรู้สึกว่าสวยเลย
ถ้าไม่มีคนเลยน่าจะสวยกว่านี้เยอะ แต่ถ้าไม่มีคนเลยคงจะรู้สึกวังเวงน่าดู
น้ำเป็นสีฟ้าๆ ใสๆ เสียงน้ำตกซ่าๆ มันบำบัดความเหนื่อยได้เหมือนกันนะ
แม่ดูมีความสุข สายตาเป็นประกายเลย น่ารักอ่ะ
คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสมาอีก จะเตรียมตัวมาแช่ซักหน่อย มันน่าสนุกดี
แต่ต้องหาช่วงที่ไม่ค่อยมีคน เพราะเท่าที่เห็น แทบจะไม่มีที่ว่างให้ลงไปแทรกได้เลย
แต่ละคนก็เห็นแช่กันนานมาก ไม่มีทีท่าว่าจะลุกเลย
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝรั่ง ใส่ทูพืซแช่กันเป็นเรื่องเป็นราวกันเลย
ก็เขาอุตส่าห์ดั้นด้นมาไกลนี่นะก็ต้องเอาให้คุ้ม
ส่วนเราโอกาสหน้าต้องมาอีกให้ได้
แต่เคยได้ยินมาว่า ถ้าแช่น้ำร้อน ต้องลุกมาแช่น้ำเย็นบ้าง
อย่าแช่น้ำร้อนนานๆเกิน 20 นาที อาจทำให้เป็นลมได้
ขับรถเที่ยว ที่ที่สี่ : สระมรกต
พวกเราใช้เวลากับที่น้ำตกร้อนประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินทางต่อไปที่สระมรกต
โดยอยู่ห่างจากน้ำตกร้อนประมาณ 5 กม. ขับรถไปก็ไม่ยาก มีป้ายบอกทางตลอด
ถนนหนทางก็เรียบ ขับสบาย ถ้าไม่สนว่าใครจะบีบแตรไล่นะ
ถ้ามีใครขับตามมา ก็แค่ชลอแล้วชิดซ้ายไว้ เปิดไฟเลี้ยวซ้าย
เชิญให้พี่แซงไปได้เลย เดี๋ยวน้องขอชมวิวไปเรื่อยๆ
พอน่าจะใกล้ถึงทางเข้าแล้ว จะมีคนดักโบกให้เข้ามาจอดรถ
(เก็บค่าจอด 30 บาท) มีประมาณ 3 จุด
จุดแรกที่เผลอเลี้ยวเข้าไปเพราะ คนโบก โบกแบบจริงจังมากเลย
แบบว่าต้องเบรคตัวโก่งกันเลย เพราะนึกว่ามีที่จอดที่นี่ที่เดียว
แต่เรายังมองไม่เห็นทางเข้าเลยนะ กลัวแม่เดินไกล ก็เลยวนรถออกมา
จนคนโบคหน้างอ บ่นอะไรไม่รู้ ก็ขับไปอีกนิดนึง(แต่ถ้าเดินก็ไกลแหละ)
ก็จะเจอที่จอดรถอีกที่นึง กว้างกว่ามาก แต่ก็ยังไม่แน่ใจ
เลยขับต่อไปอีกนิดนึง ก็เห็นทางเข้า
ข้างๆทางเข้า จะมีที่จอดรถอีกจุดที่ใกล้ที่สุด มีรถตู้จอดกันเต็มไปหมด
แต่พื้นเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มเลย หลังจากจอดให้แม่ลงปากทางแบบใกล้สุดๆแล้ว
ก็ค่อยเอารถไปจอดตรงที่มีรถตู้จอดเยอะๆ
ทีแรกเห็นมีรถตู้เยอะๆ ก็นึกว่าจะไม่เก็บค่าจอดรถซะอีก
แต่ก็เก็บเหมือนกัน รู้งี้ไปจอดที่พื้นดีๆดีกว่า
พอเจอแม่ที่นั่งรอที่ปากทางเข้า ก็เห็นป้ายว่าห้ามนำอาหารเข้าไป
ก็เลยต้องถอยออกมานั่งกินให้หมดก่อน
ทีแรกกะไว้ว่าจะเอาข้าวไปนั่งกินกับบรรยากาศดีๆข้างในซักหน่อย
แต่เขามีกฏแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีขยะรกตา
พอหาที่นั่งกินกันเรียบร้อย ก็เริ่มมีแรงเดินแล้ว
ตอนจ่ายค่าผ่านประตู คนเก็บเงินบอกว่า ยายไม่เก็บค่าเข้าก็ได้ครับ
แม่งี้ทั้งดีใจ และน้อยใจพร้อมๆกัน
ดีใจที่ไม่ต้องเสียเงิน น้อยใจที่เขาเรียกว่า “ยาย”
แหม…แค่ป้าก็พอแล้วมั๊ง
ระยะทางจากปากทางเข้าไปสระมรกต
ดูท่าทางจะไกลกว่าตอนเดินเข้าน้ำตกร้อนมากเลย
เดินไปหอบไป พักไป พอเห็นศาลาริมทาง แม่รีบเข้าไปนั่งเลย
เริ่มเห็นฝรั่งนุ่งบิกินี่พาดผ้าเช็ดตัวทยอยกันเดินไปมา
ก็แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว เสียงน้ำไหลผ่านเข้ามาผสมกับเสียงผู้คน
มองเห็นสระน้ำสีเขียวๆอยู่ไกลๆนั่นแล้ว
โหว…ยังกับสระว่ายน้ำเลยนะ
ภาพที่ชินตาในอินเตอร์เน็ท กับภาพที่เห็นด้วยตา มันช่างต่างกันมากเลย
จะบอกว่าสวยโคตรๆมันก็ไม่ใช่ เพราะเห็นในรูปมันสวยกว่าของจริงเยอะ
แต่ของจริงมันดูมีเสน่ห์ แฝงไปด้วยความมีชีวิต กลิ่นน้ำ กลิ่นใบไม้ เสียงน้ำ
แหม…ถ้ามีที่ให้นั่งปิคนิคล่ะก็ จะได้อารมณ์มากเลย
เสียอยู่แค่คนเยอะมาก และอันตรายมาก เพราะมันลื่นจริงๆ
สามีลื่นล้มไป 2 รอบ แปลกตรงที่ลื่นจุดๆเดียวกันเลย
เดินขาไปลื่นทีนึง ขากลับลื่นอีกทีนึง
สงสัยเจ้าที่จะแรง เวลาเดินต้องย่องสุดฤทธิ์
หรืออาจเป็นเพราะพวกเราใส่รองเท้าด้วยรึป่าวไม่แน่ใจนะ
เรามาทำความเข้าใจกันนิดนึงดีกว่าว่า ทำไม น้ำตกถึงร้อนได้?
– สาเหตุเกิดจากการที่ น้ำที่อยู่ชั้นใต้ผิวโลกลงไปลึกๆ มันผุดขึ้นมา
แล้วน้ำมันผุดขึ้นมาได้ยังไง?
– ก็เพราะน้ำจากผิวโลกเย็นๆ ไหลลงไปใต้ผิวโลก
– จากความรู้ที่ว่า น้ำเย็นหนักกว่าน้ำร้อน ทำให้น้ำเย็นไหลลงใต้น้ำร้อน น้ำร้อนเลยผุดขึ้นมาได้
แล้วทำไมมันถึงผุดอยู่ไม่กี่ที่ล่ะ?
– ก็เพราะว่าหินบริเวณนั้น เป็นหินชนิดที่มีรูพรุน อ่อนตัวกว่าหินทั่วๆไป หรือมีการซึมซับน้ำได้ดี ทำให้กักเก็บน้ำได้มาก
– ทีนี้ดันมีหินแข็งๆที่เรียกว่า “หินอัคนี” แทรกตัวผ่านหินรูพรุนๆนี้ขึ้นมา ทำให้เกิดรอยแยก น้ำก็เลยผุดขึ้นมาได้เฉพาะบางพื้นที่ไง
แล้วถ้าพื้นที่ที่ไม่มีมีรอยแยก น้ำไม่ผุดขึ้นมา แล้วน้ำมันไปไหนหมด ?
– มันก็กลายเป็นน้ำบาดาลน่ะสิ
แล้วสีของน้ำ ทำไมถึงเขียวเหมือนมรกตเลย?
– ก็เพราะว่ามันเป็นสีของสาหร่าย และแบคทีเรียในน้ำ มันจะแบ่งพวกตามอุณหภูมิของน้ำเลยนะ
– อย่างถ้าพวกไหนทนร้อนได้สูงๆ มันก็จะอยู่ใกล้ๆกับศูนย์กลางน้ำพุร้อนเลย พวกนี้จะมี “สีน้ำเงิน”
– ส่วนพวกที่ทนร้อนได้นิดหน่อยน้ำอุ่นๆ ก็จะมี “สีเขียว”
– ส่วนพวกที่ทนร้อนไม่ค่อยได้ ก็จะมี “สีน้ำตาล” หรือ “สีขาว”
ฟังดูแล้วก็รู้สึกเหมือนคนนะ มีสีผิวต่างกัน เกิดจากที่ต่างกัน
หลังจากหาที่นั่งให้แม่นั่งได้เรียบร้อย เราสองคนก็พากันไปพจญภัยรอบๆ
มีทางให้เดินขึ้นไปป้ายเขียนว่า “สระแก้ว บ่อน้ำผุด” แต่ไม่ได้เขียนระยะทาง
ไอ้เราก็นึกว่าใกล้ๆ ปรากฎว่าเดินไปตั้งนาน ก็ไม่เจอซักที
นานๆทีจะมีคนเดินผ่านมาซักคนสองคน
ท้องฟ้าเริ่มครึ้ม มองหน้ากันถามว่าเอาไงดี ไปต่อมั้ย ไปต่อๆ
แต่ก็ยังไม่เจอซักที จากก้าวเท้ายาวๆ เป็นวิ่ง ก็ยังไม่ถึงซักที
ดูเวลาแล้วบวกเวลากลับอีก สงสัยจะเลยกำหนดการ
ฝนเริ่มปรอยลงมา เลยหันหัวกลับดีกว่า
ขาไปเดินเล่นชมธรรมชาติ ชากลับแทบจะวิ่ง
มาถึงจุดนัดพบที่แม่นั่งรอ เห็นแม่กำลังย่องๆไปตรงอีกจุดนึง
หัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เฮ้ย…ห้ามไม่ทันแล้ว แต่ก็ต้องห้าม อยากตะโกนไปให้ถึง
ก็แหม…คนหนุ่มๆยังลื่นล้มก้นจ้ำเบ้า แล้วอายุมากแล้วจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง
ไม่ได้การแล้ว ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น มีเสื้อกันฝนอยู่อันนึง
จัดแจงแต่งตัวให้แม่ใส่เด่นอยู่คนเดียวเลย
เดินไปยังไม่ทันเกินสิบก้าว ฝนหยุดแระ
เออ…ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันตกใหม่จะได้ไม่ต้องใส่ๆถอดๆ
ระหว่างทางเดินกลับ แม่เห็นเด็กตัวเล็กๆลูกครึ่งฝรั่ง
เลยเข้าไปเล่นด้วยอีก คุยกับแม่ของเด็ก สปีคกับพ่อของเด็กกันใหญ่
ไอ้เราก็ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะไปซักที จะทันเวลามั้ยเนี่ยะ
กว่าจะดึงตัวมาได้ ก็เลยต้องบอกให้รีบจ้ำหน่อย
อยากคุยเยอะก็ต้องเปลืองแรงหน่อยล่ะกัน แวะเข้าห้องน้ำ(พอใช้ได้)
จัดแจงเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่สนามบินอย่างเดียวล่ะทีนี้
ไปสนามบินกระบี่
เนื่องจากพวกเรา เช่ารถขับเอง ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าใครไม่ได้เช่า ก็ต้องจ้างรถตู้จากโรงแรม เที่ยวละ 600 บาท
ระหว่างทางต้องแวะเติมน้ำมันก่อน ปั๊มมีให้เลือกทุกยี่ห้อเลย
อยู่ใกล้ๆกับสนามบินด้วย หมดห่วงได้ เราเลือกปตท.
มีคนสอนว่า ให้เติมทีละร้อยบาท แล้วดูสเกลว่าถึงขีดหรือยัง
แต่เราขี้เกียจ เลยบอกเอาเต็มถังไปเลย
ช่วงนี้น้ำมันราคาถูกลงแล้วไม่เป็นไร
ในปั๊มเจอร้านขายของฝากพอดีก็ต้องแวะซื้ออีก
เพราะระหว่างทางก็มองหาตลอดแต่ไม่เจอ
ลุ้นแทบแย่ว่าจะไม่ทัน เพราะกว่าจะส่งรถอีก
พวกเราไปถึงสนามบิน แต่ไม่รู้ว่าต้องส่งรถที่ไหน เลยโทรไปcall center
เขาเลยบอกว่าเดี๋ยวให้เจ้าหน้าที่ขึ้นมารับก็ได้ บริการดี๊ดี
ระหว่างตรวจเช็คสภาพ ก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีปัญหาอะไรอีกมั้ย
อย่างรถเขรอะมาก(ฝนตก) มีรอยขูด(ที่ไม่รู้ว่ามันมีมาก่อนหรือเปล่า)
แต่เท่าที่รู้คือ เราไมไ่ด้เฉี่ยวชนอะไรเลย
พอเขาบอกเรียบร้อย ก็ค่อยโล่งอกหน่อย
ไม่ดูเวลาเลย แต่รีบมาก ไปถึงเกทที่รอขึ้นเครื่องประมาณ 15.30 น.
ฉิวเฉียดมาก ยังพอมีเวลาล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำอีกนิดหน่อย
และแล้วก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกหนึ่งทริป
กำหนดการ ทัวร์บนบก (ทัวร์ชะโงก)ของพวกเรา
อันนี้เป็นตารางเวลา ทัวร์บนบก ที่คำนวณเวลาจากกูเกิลแมพ ถึงขนาดปริ้นท์ไปเลย คิดดูว่าเดินทางแบบกระชั้นชิดขนาดไหน
6.00 น. เริ่มต้นออกเดินทางออกจากโรงแรม(ล้อหมุน)
6.00 น. – 6.30 น.ขับรถชมวิวจากโรงแรม ผ่านอ่าวนาง ไปสุสานหอย
6.30 น. – 6.45 น. ดูบรรยากาศสุสานหอย
6.45 น. – 7.30 น. ขับรถออกจากสุสานหอยไปตัวเมืองกระบี่
7.30 น. – 8.30 น. ดูบรรยากาศตัวเมือง หาอะไรกิน ซื้อของในตัวเมืองกระบี่
8.30 น. – 9.00 น. ออกจากตัวเมืองกระบี่ เดินทางไป วัดถ้ำเสือ
9.00 น. – 9.15 น. ดูบรรยากาศวัดถ้ำเสือ
9.15 น. – 10.30 น. ออกเดินทางจากวัดถ้ำเสือ ไปน้ำตกร้อน
10.30 น. – 10.45 น. เดินเข้าน้ำตกร้อน
10.45 น. – 11.15 น. ดูบรรยากาศภายในน้ำตกร้อน
11.15 น. – 12.45 น. ออกจากน้ำตกร้อนไปสระมรกต
12.45 น. – 13.15 น. ดูบรรยากาศภายในสระมรกต
13.15 น. – 14.30 น. ออกเดินทางจากสระมรกต ไปสนามบินกระบี่
จากกำหนดการข้างต้นจะเห็นว่า เผื่อเวลาขับรถไว้มาก
และต้องถึงสนามบินกระบี่ไม่เกินบ่ายสองโมงครึ่งแล้ว
แต่สถานการณ์จริงก็ไม่ได้ตามเวลานี่เป๊ะ
จะคลาดเคลื่อนก็ตรงที่ใช้เวลาขับรถเร็วกว่าที่คิด
เลยมีเวลาให้แต่ละที่มากขึ้น แต่ก็ไปถึงสนามบินช้ากว่ากำหนดด้วย
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
ค่าเช่ารถแพงไม่ครับ วันละเท่าไหร่
ไม่เกิน 1000 บาทค่ะ