มาเก๊า-ฮ่องกง8 พิพิธภัณฑ์ – นั่งเฟอร์รี่ข้ามฟากไปฝั่งฮ่องกง – นั่งรถราง
11 ม.ค. 2555 วันที่สี่ของการเดินทาง
วันนี้ตื่นสาย เพราะเหนื่อยจากเมื่อวาน กินขนมปังห่อหมูหยองแท่ง และอาหารเสริมสุขภาพที่เตรียมไป
เพราะไปที่นี่คิดไว้แล้วว่า น่าจะไม่ค่อยได้กินผัก วิตามิน อะไรซักเท่าไหร่ จึงต้องดูแลสุขภาพกันหน่อย
สถานที่แรกที่ไปคือ Hong Kong Museum of History ดูประวัติศาสตร์ของฮ่องกง ที่รวบรวมได้ดีมากๆ
ที่สำคัญคือ เราได้วางแผนเตรียมการมาอย่างดีแล้ว ว่าวันไหนเขาให้เข้าฟรี
เราก็ไปวันนั้นซะเลย ของฟรีๆ และมีคุณภาพแบบนี้ จะไม่รับได้อย่างไร
มีประวัติตั้งแต่ยุค 400 ล้านปีที่แล้วเลย เสียตรงที่อ่านไม่ออกเท่านั้นเอง
เพราะเป็นภาษาจีนทั้งหมด ให้คะแนนเต็ม 10 เลยสำหรับที่นี่ สนุกมาก
ยิ่งได้เข้าฟรีแล้ว ยิ่งแถมคะแนนให้อีกเท่าตัวเลย แต่ถึงจะเสียค่าเข้า ก็ไม่แพงเลย
จากนั้นก็เดินต่อไปยัง Hong Kong Space Museum ซึ่งก็ไม่ไกลกันมากนัก
โดยเดินผ่านไปทางเดินใต้ดิน เพราะเป็นทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า
สะดวกดีมาก ทางเดินก็เชื่อมต่อกันหมด
ที่พิพิธภัณฑ์อวกาศนี้ ก็เป็นวันที่เขาให้เข้าฟรีอีกเช่นกัน (วันอื่นเสียค่าเข้า)
มีเด็กนักเรียนต่อคิวยาวมาก เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีทางอวกาศ
เช่นการปล่อยจรวด การสำรวจดวงจันทร์ มีการให้ทดลองเดินในสภาพแรงโน้มถ่วง
ที่เท่ากับเดินบนดวงจันทร์ด้วย แต่ต่อคิวยาวมาก เลยไม่อยากรอ
ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.2548 ก็ได้มีนักบินอวกาศ ขึ้นไปบนอวกาศ แล้วมองลงมาบนพื้นโลก
แต่เขาบอกว่า ไม่ยักกะมองไม่เห็นกำแพงเมืองจีน อย่างที่คนจีนเคยเชื่อกัน
ถ้านับกันจริงๆ หลังจากช่วงยุกปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุด ปี 1976 แล้ว
ประเทศจีนเพิ่งจะเริ่มตั้งตัวมาไม่เกิน 40ปี แต่พัฒนาไปจนปล่อยยานอวกาศสำรวจนอกโลกได้แล้ว
ประเทศไทยกี่ร้อยปีแล้วก็ไม่รู้ ยังย่ำอยู่กับที่ ก็เหมือนถอยหลังลงคลอง(เน่าๆ)
รู้สึกว่า เด็กที่นี่โชคดีจริงๆ มีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าเยอะแยะ
แถมที่นี่ยังมีจัดฉายหนังแนววิทยาศาสตร์ จากที่ต่างๆ
น่าตื่นตาตื่นใจมากจริงๆ จนคิดว่าเราเข้าฟรีจริงๆหรอเนี่ยะ
ต่อจากนั้น เราแวะถ่ายรูปสวยๆ ที่อ่าววิคตอเรีย
ที่เดียวกับที่ฉายซิมโฟนีออฟไลท์ วิวสวยจริงๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่งฮ่องกง(เรายืนอยู่ฝั่งเกาลูน)
รู้สึกว่าคนที่นี่โชคดี ที่ทางการจัดที่สวยๆแบบนี้ ไว้ให้พักผ่อนเยอะแยะไปหมด
ถ้าไม่เคยมา จะคิดว่าคนประเทศนี้อยู่กันอย่างแออัด เครียด
เพราะต้องแข่งกับเวลา ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่มีพื้นที่ให้ผ่อนคลายหายใจ
แต่พอมาแล้วรู้สึกว่าไม่เป็นอย่างที่คิด
จากนั้น เราลงเรือ Star Ferry ไปฝั่ง Central เรือลำใหญ่มาก
แต่ดูเก่าๆ คลาสสิกดี ตัวท่าเรือ ก็ดูเก่าเหมือนในหนังฮ่องกงเลย
เขาตั้งใจอนุรักษ์ไว้หรือเปล่าน้า? แต่อย่างไรก็ดูดีกว่าของไทยเป็นร้อยเท่า
ถึงฝั่ง Central(ฝั่งฮ่องกง) ก็ขึ้นไปชมวิวที่จุดชมวิว ชั้น3 ของท่าเรือ
นั่งกินขนมปังห่อหมูหยองแท่ง ทางเดินด้านบน เห็นมีแผงขายผักด้วย
จะหาซื้ออะไรที่กินได้สดๆ แต่ไม่มี
จากนั้นเราเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ตอนแรกว่าจะไป เดอะพีค
แต่เปลี่ยนใจไป western market เลยเดินไปสถานี Hong kong
แล้วเดินต่อไปสถานี Central เป็นทางเชื่อมยาวมากๆ
เพราะสถานี Hong Kong ไม่มีรถไฟฟ้า เป็นจุดเปลี่ยนรถเฉยๆ
แล้วนั่งไปลงสถานี Sheung wan ดูถนน winglok ที่ขายพวกรังนก ยาจีนก่อน
ทีแรกคิดว่า Western Market หรือ Red Market จะใหญ่ๆ และมีของขายเยอะๆ
พอถึงจริงๆ ก็รู้สึกผิดหวัง เพราะขายแต่ผ้าอย่างกับสำเพ็ง ดีอยู่แค่อย่างเดียวคือ ตึกสวย
ฝั่งตรงข้ามตึก Red Market จะมีร้านขนมปัง โฮมเมด
ดูชาวบ๊าน ชาวบ้านมาก แต่ให้เยอะสุดๆ แถมอร่อยมากอีกต่างหาก
คิดดูแล้วปริมาณแบบนี้ หาซื้อที่ไทยยังไม่ได้เลย
แถวๆนั้นยังมี ตึกที่เป็นตลาดสด จึงแวะเข้าไป
ตั้งใจจะซื้อผักอะไรที่กินสดๆได้ซักหน่อย เพราะแทบไม่ได้กินผักเลย
(พวกเราเป็นพวกกินผักเยอะในแต่ละวัน พอไม่ค่อยได้กิน จะรู้สึกเหมือนร่างกายขาดวิตามิน)
การกินผักหลังอาหาร ก็ทำให้รู้สึกได้ทำความสะอาดปาก
เดินดูก็เห็นจะมีแต่มะเขือเทศ (ลูกใหญ่มาก) กับแครอท ที่กินสดๆได้
พกพาไปไหนก็ได้ (ของชอบด้วย) แม่ค้ายังแถมต้นหอมให้ด้วยแน่ะ
จากนั้นไปขึ้นรถราง มาฮ่องกงแล้วต้องขึ้นรถรางอยู่แล้ว
ได้อารมณ์มากเลย ค่ารถรางก็ถูก (2.3HKD ~12บาท)
ไปลง Causeway bay รถรางมี2ชั้น จอดตามป้ายเหมือนรถเมล์ และก็มีรถติดเหมือนกันอีก
ระหว่างทาง ผ่านย่าน Wan Chai เห็นมีตลาดคึกคักดี เลยเปลี่ยนใจลงที่นี่
บรรยากาศคึกคัก รู้สึกเหมือนแถวเยาวราชบ้านเราเลย
แต่สวยกว่าเยอะ มีร้านค้าคนไทยอยู่ใกล้ๆกัน 3-4 ร้าน ขายของจากไทย
พวกของใช้ยี่ห้อไทยต่างๆ ก็เหมือนโชว์ห่วยบ้านเราแหละ .
แถวนี้มีร้านขนมปังถูกๆด้วย แล้วก็หาอะไรกิน กินบะหมี่ดีกว่า
สั่งโดยการชี้ไปที่โต๊ะคนอื่น แล้วชูนิ้วเลข1 (และไม่ลืมยิ้มเป็นการขอบคุณเจ้าของชามที่ถูกชี้ด้วย)
แต่ต้องพูดไปชี้ไปด้วย พูดภาษาไทยก็ได้ ภาษาอังกฤษก็ได้
ไม่ใช่ชี้อย่างเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นใบ้
ขนมปังกับอาหารแถวนี้ ถูกกว่าย่าน Tsim Sha Shui ที่เราพักมากเลย (ครึ่งต่อครึ่ง)
ถ้าโอกาสหน้า จะมาพักแถวนี้ดีกว่า อาจเป็นเพราะไม่ใช่ย่านท่องเที่ยวด้วยแหล่ะ
ได้ซื้อสาหร่ายเส้นผม(ภาษากวางตุ้งเรียกว่า ฝัดฉ่อย) 80 HKD ที่ทางบ้านฝากซื้อมา
ซึ่งหาซื้อยากในไทย แต่มาที่ฮ่องกงนี่ เห็นกันเกลื่อน
ชอบย่านนี้จังเลย มันดูชาวบ๊านชาวบ้านดี
นั่งรถรางต่อไป Causeway Bay ที่นี่บรรยากาศไม่ต่างจาก Tsim Sha Shui เลย
มีแต่ห้าง ร้านค้าหรู (ไม่ค่อยชอบ) จึงเดินแค่แป๊บเดียว
ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่า ในการท่องเที่ยวต่อๆไป
ถ้าเป็นถนน หรือแหล่งท่องเที่ยวที่แนะนำ เราจะไม่ไป
แต่จะไปที่ที่เขาไม่ได้แนะนำดีกว่า ดูเป็นธรรมชาติชาวบ้านมากกว่า
นั่งรถไฟฟ้ามาลงแถวที่พัก แวะซื้อน้ำ+นม ที่ Supermaket ที่ถนน Granville
แต่ทั้ง 7-11 และซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่ เขาจะไม่ให้ถุงพลาสติก เราต้องเตรียมมาเอง
หรือถ้าต้องการ ก็ต้องจ่ายเพิ่ม 50 Cen ต่อใบ
ก็ดีเหมือนกันจะได้ลดโลกร้อน ที่เมืองไทยก็น่าจะทำแบบนี้บ้าง
ทำให้เมื่อเรากลับเมืองไทยแล้ว เราก็จะไม่ขอถุงเวลาซื้อของ เราจะเตรียมถุงไปเอง
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
- ค่ากิน 173.6 HKD
- ค่ารถ 41.6 HKD
- ค่าสาหร่าย(ของฝาก) 80 HKD
- รวม 295.2 HKD
รวมรีวิวเที่ยวมาเก๊า-ฮ่องกงทุกตอน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ