โตเกียว5
27 มีนาคม 2556 วันที่สามของการเดินทาง
ดิสนีย์แลนด์ – อากิฮะบาระ
โปรแกรมของวันนี้ง่ายมากคือ ไปดิสนี่ย์แลนด์ที่เดียว แล้วกลับมานอน
การเดินทางไปก็ง่ายแสนง่าย ขอไม่สาธายายนะ เพราะหากันเองได้ง่ายๆ
เล่นลากเส้นรถไฟฟ้ากันเองแล้วกัน ขอให้ไปถึง สถานี Maihama ได้ก็พอ
บอกก่อนเลยว่า รีวิวนี้ไม่ได้รีวิวเครื่องเล่น ไม่ได้บอกว่ามีเครื่องเล่นอะไรบ้าง โชว์อะไรบ้าง
แต่อยากถ่ายทอดความรู้สึก ที่ได้สัมผัสบรรยกาศในดิสนี่ย์แลนด์นี้ครั้งแรก
ถ้าครั้งต่อๆไป ได้มาอีก ก็คงจะรีวิวเจาะลึกเครื่องเล่นบ้าง
แต่เราคิดว่าข้อมูลพวกนี้ หาในเวปดิสนี่ย์แลน์ก็ได้ เขามีคลิปให้ดูด้วย
ก่อนเดินทางเราฝากท้องกันที่ร้าน Yoshinoya เป็นครั้งที่2
เพราะตั้งใจว่าจะลองมันทุกเมนู อาหารก็อร่อย ได้เยอะ ราคาก็ถูก(สำหรับค่าเงินญี่ปุ่น) จิ้มตามรูปได้เลย
เขาเล่าลือกันว่า ตอนเช้าอย่าได้ขึ้นรถไฟฟ้าเชียว ออกมาอาจเสียตัวได้
ไอ้เราก็อยากเห็นจริงๆเล้ย คือภาพที่ต้อง ใช้เท้ายันคนข้างหน้า ให้อัดเข้าไปในรถไฟฟ้าได้
เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ก็เยอะจริงๆ
โดยเฉพาะชายชุดดำ เดินถือกระเป๋า อย่างกับมนุษย์โคลน
ยิ่งอยู่ในรถไฟฟ้า แล้วมีตัวประหลาด 2 คน เป็นจุดสนใจด้วย มองๆดูแล้วน่ากลัวจัง
แต่จริงๆแล้ว ไม่น่ากลัวหรอก เพราะแต่ละคนยืนหลับ
ไม่ได้มองหน้ากันด้วยซ้ำ ไม่มีใครมาสนใจใครหรอก
เมื่อเรามาถึง สถานี Maihama ปรากฏว่าหลงทางได้อีก ซึ่งเป็นที่ที่ไม่น่าจะหลงได้เลย
เพราะตามกฏส่วนตัวแล้ว ผู้คนเดินไปทางไหนเยอะๆ ก็ทางนั้นแหล่ะ
แต่เราดันอวดดี เดินนอกลู่นอกทาง ทำเป็นเก่ง ทั้งๆที่ตั้งใจมาให้เร็ว
ให้ทันดิสนี่ย์แลนด์ เปิดตอน 8 โมงเช้า แต่ก็มาเสียเวลาหลง
หาทางเข้าไม่ได้ เลยลองเดินไปถามพนักงาน เขาก็ชี้ๆ จึงเข้าใจ
นึกว่าหมดเวรหมดกรรม กับการหลงอย่างซื่อบื้อครั้งนี้แล้ว
แต่กลับเกิดความซื่อบื้อยกกำลังสอง บวกกับการตกตะลึงกับผู้คน
ทั้งๆที่ฝนก็ตกด้วยนะเนี่ยะ
เพราะพอเราเห็นคนต่อคิวกันเต็มไปหมด เราเห็นแถวไหนสั้นก็รีบเข้าไปต่อ
ยืนต่อแถวอยู่ตั้งนาน ขยับทีละนิดๆ หรือไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ
พอขยับไปจนจะถึงทางเข้าแล้ว ก็ยังไม่ตาสว่างซะที
เพราะมันคือทางเข้า พวกเรายังไม่ได้ซื้อตั๋วเลย
จากนั้นพนักงาน ก็มาต้อนให้แถวเราไปเข้าทางนู้นได้ คนก็กรูกันไป
เราก็กรูตาม เห็นข้างหน้าลิบๆว่ามันเป็นทางเข้าอ่ะ ไม่ใช่ช่องซื้อตั๋ว
บร๊ะ…เวรแล้วไง ต่อคิวอยู่ได้เกือบชั่วโมง
ก็แถวมันยาวมากกกก จนไม่เห็นหัวแถวเลย จะหาว่าโง่ก็ได้นะ
เราเลยรีบเปลี่ยนไปต่อแถวที่ซื้อตั๋วจริงๆ
แต่ก่อนอื่นต้องไปสำรวจหัวแถวก่อน ว่าจริงๆแล้วมันใช่ช่องซื้อตั๋วหรือป่าว
เพราะแถวมันยาวมาก ผู้คนยืนปิดช่องกันแน่นไปหมด เมื่อมั่นใจแล้วว่าใช่แน่
แต่ก็ต้องยืนรออีกนานกว่าจะได้ตั๋ว
ขอชื่นชมกับการให้บริการของคนญี่ปุ่นจริงๆ และอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาไม่เมื่อยปากบ้างหรือไง
กับการพูดตลอดเวลา ยิ้มตลอดวัน เดินโบกไม้โบกมือ ทำนู่นทำนี่ไม่เห็นได้หยุดเลย
ขนาดพนักงานกวาดพื้นยังยิ้ม และพูดต้อนรับตลอดด้วย บ้ามั้ยล่ะ
ในวันนี้ เราคาดหวัง ดิสนี่ย์แลนด์ ไว้สูงกว่าที่ฮ่องกง
แต่ถูกฝนพรากเอาความสนุกไปจนเกือบหมด เพราะอากาศหนาวอยู่แล้ว ฝนยังตกอีก
ร่มก็เอามาแค่อันเดียว เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่า Cloudy
เราก็เข้าใจว่า มีเมฆเฉยๆ ไม่คิดว่าจะมีฝนด้วย
หนาวยังพอทน ฝนยังพอหลบ แต่น้ำเข้าถุงเท้า รองเท้าเปียกนี่นรกชัดๆ
จะซื้อถุงเท้าใหม่ใน disney store ก็แพง ถึงจะซื้อมาก็เปียกอีกอยู่ดี เพราะรองเท้ามันเปียก
ทำให้วันนั้นกลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิด พาลไม่อยากเล่นอะไร
อีกอย่าง คิวแต่ละเครื่องเล่นมันโหดมาก เห็นป้ายเขียนว่า รอ 1.30 ชม. จะบ้าหรอ!!
ยังจะมีคนเพิ่งแห่กันเดินเข้าไปรออีก ทั้งๆที่เห็นป้ายเวลาอยู่
เราเห็นก็ถอดใจแล้ว ต่อให้มี Fast Pass ก็ไม่ได้จะเข้าได้เลย
เราให้ฉายามันว่า Faster Pass เพราะแค่เร็วกว่า แต่ไม่เร็วจริง
เพราะ กดเช้า ได้คิวเย็น และคนอื่นๆก็กดกันได้
พอไปตอนเย็นตาม pass ก็ต้องไปต่อคิวอีกนะ ไม่ใช่มีบัตรเบ่งแล้วจะเล่นได้เลย
คือต้องรอเหมือนกัน เพราะคนอื่นเขาก็กดมาเหมือนกัน
ขนาดฝนตกขนาดนี้ ยังเยอะแบบนี้ ถ้าอากาศดี คงได้แค่เดินไปเดินมาชมวิวเฉยๆ
คิดดูว่า วันแรกที่แบกกระเป๋า ขึ้นบันไดรถไฟฟ้า ขามันก็พลิก ปวดก็ปวด
แถมวันนี้ ต้องมาแช่เท้าในถุงเท้าเปียกๆอีก
แต่ด้วย ความงก ชนะทุกสิ่ง เสียเงินเข้ามาแล้วก็ต้องเอาให้คุ้ม
ขอออกหน้านิดนึงว่า ก่อนมาเราได้เข้าเวปดิสนี่ย์ เพื่อวางแผนเวลาโชว์การแสดง
ทำเป็นตารางอย่างดี ว่าเวลาไหนเราต้องไปโชว์ไหน มีเวลาว่างช่วงไหน ไปเล่นอะไรดี
โปรเจกอภิมหารเพอร์เฟ็กต์ของเรา ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า
เพราะทั้งหลง ทั้งฝนที่ตกทำให้ต้องงดการแสดงหลายอย่าง ทั้งคิวที่ยาวเหยียด
จึงเปลี่ยนแผนในอุดมคติของเรา อย่างกระทันหัน ด้วยการไม่มีแผน
คือเดินไปเจออะไร อยากเข้าก็เข้า อยากเล่นอะไรก็ต่อคิว คิวไหนน้อยก็เอาอันนั้น
แต่แผนที่ร่างบนกระดาษA4 ปริ๊นท์มาซะดิบดี ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ดีกว่าไม่เตรียมอะไรมาเลย
คนที่เข้ามา ก็น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นซะ 99.99% ได้เลยนะ
เพราะหาฝรั่งผมทอง หรือเสียงคุยภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย
หรือจะดูจากการแต่งตัวก็ได้ ถ้าเป็นไกโคคุจิน หรือต่างชาติแถบเอเซีย
ก็จะแต่งตัวอีกแบบ แต่นี่แต่งตัวแบบเดียวกันหมด ภาษาจีนก็ไม่ได้ยินเลย
เลยสรุปเอาเองว่า ญี่ปุ่นอุดหนุนกันเอง
เครื่องเล่นที่สามีเราชอบมากเลยคือ พวกเรือ ไม่รู้ชาติที่แล้วเป็นกัปตันเรือ หรือชาวประมงหรือป่าว
อีกอย่างคือ รถไฟ คืออะไรที่เรื่อยๆ ไม่หวาดเสียว ไม่สูง ชอบหมด
รวมทั้งโชว์การแสดงต่างๆ ชอบเป็นพิเศษ ส่วนเครื่องเล่นหวาดเสียว ฮาร์ดคอ ตัดไปได้เลย
ถึงเราจะอยากเล่น แต่ไม่มีคนเล่นด้วยก้ อด
พูดถึงโชว์ต่างๆ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ เพราะมันไม่อลังการเหมือนที่ฮ่องกงเลย
สรุปโดยรวม ในความคาดหวังส่วนตัวคิดว่า ให้คะแนน 7/10 (นี่ไม่นับเรื่องฝนตกนะ)
เรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์ของดิสนี่ย์ แต่ละคนก็จะมีการแต่งตัวที่น่ารักมาก
อากาศหนาวๆ ยังใส่กระโปรงสั้นๆ ไม่หนาวหรอ เกือบทุกคนจะมีผลิตภัณฑ์ดิสนี่ย์
อย่างกับเป็นพวก Disney Product Lover ไม่หูมิ๊กกี้ ก็หมีเท็ดดี้ อันนี้เยอะมาก
ถ้าให้เดาแบบหยาบๆ จากสายตา ทุกคนมีผลิตภัณฑ์ของดิสนี่ย์ อยู่บนตัวแทบทุกคน
อย่างน้อยคนละ 2ชิ้น แต่น่าจะ 3 ชิ้นขึ้นไป ซะมากกว่า
มองเผินๆก็ดีนะ อุดหนุนกันดี เงินเดินสะพัดดี หรือบางทีก็มองว่า เด็กญี่ปุ่นทำไมรวยจริง
ตุ๊กตาเท็ดดี้ ตัวเล็กๆ ขั้นต่ำก็เป็นพันแล้ว
ของใน Disney Store คนหยิบกันอย่างกับเขาแจกฟรี
ส่วนสาวๆญี่ปุ่น มักชอบใส่ชุดนักเรียน
รู้มาว่าเป็นเพราะช่วงชีวิตที่ได้ใส่ชุดนักเรียนนั้นมีแค่ 3 ปีเท่านั้น
ตั้งแต่เด็ก รอคอยที่จะได้ใส่ชุดนักเรียน ต่างกับเราเนอะ เบื่อชุดนักเรียนจะแย่
แล้วเขาก็เห็นชุดนักเรียนเป็นแฟชั่น (ก็สวยจริงๆนั่นแหล่ะ)
สามารถใส่ไปเที่ยว ไปไหนมาไหนได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียน หรือไปเรียนก็ได้
ที่สำคัญ ต้องนุ่งสั้น ถุงเท้ายาวคลุมเข่า เหลือพื้นที่ให้รู้สึกวาบหวิว ตรงขาอ่อน (น่ารักอ่ะ)
แต่ไม่ใช่ว่าชุดนักเรียนจะถูกๆ ราคานักเรียนนะ
แพงกว่าชุดทำงานซะอีก เคยเห็นราคาเป็นหมื่นเยน หลายหมื่นเยนกันเลย
แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้ว คนประเทศนี้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว
ของล่อตาล่อใจเยอะ ถึงรายได้จะเยอะก็เหอะ เหมือนระบบทุนนิยมเข้าครอบงำ
เห็นเสื้อผ้าวัยรุ่นที่ชิบุยะ ขั้นต่ำ 2-3 พันบาท
ออกตัวอย่างไม่อายเลยว่า เราไม่ได้ซื้อของ ที่เป็นแฟชั่น หรือของใช้เพื่อความสวยงามเลย
เหตุผลไม่ใช่ว่าไม่มีตังค์นะ แต่ซื้อมาเราก็ไม่รู้จะไปใส่โชว์ใคร
อย่างเช่นที่คาดผมมิ๊กกี้ ก็ใส่วันเดียว เอากลับมาบ้าน จะใส่เดินออกนอกบ้านได้ไง
หรือของอื่นๆอีก ดูในร้าน เห็นคนอื่นหยิบกับ ก็อยากได้นะ
แต่มันเป็นอารมณ์อยากได้ตามๆเขา มันไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้งานได้จริงเลย
เอามาก็รกบ้านเปล่าๆ
ไม่เหมือนตอนไปสิงค์โปร์ นี่สรุปด้วยความรู้สึกตัวเองล้วนๆนะ
คนสิงคโปร์(ส่วนใหญ่นะ) ดูเขาประหยัดเรื่องการแต่งตัว เสื้อผ้าดูเชยๆ
ผมก็ไม่ค่อยโกรก ไม่ยืด ไม่ดัด Universal Studio
ก็มีคนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ แหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ก็มีแต่ต่างชาติ
แต่ยังไง ก็ยังชอบประเทศญี่ปุ่น ดูมีชีวิตชีวาดี ภาษาก็น่ารัก ฟังแล้วเพราะดี
อย่างคำว่า “ไฮ่” เขาก็ลากเสียงยาวๆ แล้วยิ้มด้วย “ฮ๊ายยยย”
ขนาดคนเก็บขยะ ยังสามารถให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวได้เลย กวาดขยะไปก็ยิ้มไป
พูดอะไรก็ไม่รู้ พูดไปยิ้มไป คนเห็นแล้วก็รู้สึกดี มีความสุข
กลายเป็น นิฮงเมืองยิ้ม ชนะ สยามเมืองยิ้ม ไปเรียบร้อยแล้ว
เรื่องการเลี้ยงลูก ดูพ่อแม่เขาเอาอกเอาใจ แคร์ความรู้สึกของลูกดีจัง
เหมือนเป็นพ่อแม่ที่ได้รับการฝึกอบรม มาก่อนจะมีลูกเลย
อันนี้ไม่รู้นะ แต่มีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เห็นแล้วช่างเป็นเด็กที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ
แต่ในข้อดี ก็ย่อมมีข้อเสีย ในข้อเสียก็มีข้อดี คือได้อย่างเสียอย่าง อย่าบ่นให้มากเรื่องเลยดีกว่า
อีกอย่างที่เราสังเกตุหลายครั้งแล้ว เวลาเด็กตัวเล็กๆ วิ่งๆ แล้วล้มกระแทกพื้น
ปกติที่เราเห็นในบ้านเราคือ พ่อแม่จะเข้ามาอุ้ม แล้วปัดฝุ่นให้
แล้วก็โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะคนเก่ง เด็กก็แหกปากร้องเข้าไป
หรือบางคนก็ตีลูกซะงั้น เพี๊ยะๆ บอกว่าอย่าวิ่ง อย่าวิ่ง สมน้ำหน้า ด่าซ้ำอีก
แต่ที่เราสังเกตุเห็นที่ญี่ปุ่นนี้ ทุกครั้งเลยก็ว่าได้(อาจมีแบบอื่นด้วยแหล่ะแต่เราไม่เห็น)
คือพอเด็กล้มปุ๊บ แม่ก็เดินอยู่ห่างๆ ค่อยๆ เดินเข้ามา ไม่ได้วิ่งตาลีตาเหลือกมาช่วย
แล้วก็ยืนให้กำลังใจ พูดไดโจ๊บึๆ เนะ น่าจะแปลว่าไม่เป็นไรนะ หรือเป็นไรมั้ย
แต่เขาจะไม่อุ้ม ไม่พยุงเลยนะ ยืนรอจนกว่าเด็กจะลุกขึ้นมาเอง
แล้วก็ยังไม่เคยเห็นเด็กล้ม แล้วร้องไห้แกล้งทำเป็นลุกไม่ขึ้นด้วย
เขาลุกขึ้นมาหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนคนที่ดูแลเด็กๆ ก็จะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเห็นผู้ชายพาเด็กมากัน 2 คน
ผู้ชายก็จะเป็นพวกวัยรุ่น มากับผู้หญิง ประมาณมาออกเดทกันมั๊ง
เราออกจากดิสนี่ย์แลนด์ มาประมาณ 1ทุ่ม จริงๆอยากดูพลุ กะว่าจะไปดูที่ดิสนี่ย์ซีวันพรุ่งนี้ก็ได้
แต่ก็ยังไม่อยากกลับโรงแรม จึงไปเดินเล่นแถว อากิฮะบาระ (Akihabara)
ซึ่งเป็นสถานีถัดจากสถานี Kodemmacho ที่ใกล้โรงแรม เดินดูสินค้าเกี่ยวกับเกมส์ การ์ตูนต่างๆ
ได้เดินผ่าน ร้านซูชิจานเวียน แต่ขั้นต่ำจานละ 130 เยน ก็อยากลองดู
ฟาดมาได้ 10 จาน แต่ปนๆ กับราคา 210 เยน ด้วย
ก็อร่อยดี แต่เผอิญเป็นพวกลิ้นจรเข้ เลยไม่รู้ว่าอร่อยขั้นเทพหรือเปล่า
รู้แ่ต่ว่ามันได้อารมณ์มาก เนื้อมันสดด้วย
สรุปค่ากินวันนี้
- Yoshinoya อาหารชุด มีแซลม่อน รวม 2 คน 980 เยน
- Sushi จานเวียน ที่ Akihabara (ร้านเล็กๆ) รวม 2คน 1460 เยน
- ขนมปังที่ mini mart JR Akihabara (เอาไว้กินพรุ่งนี้) 376 เยน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ