โตเกียว12
1 เมษายน 2556 วันที่แปดของการเดินทาง
Edo wonderland ที่ Nikko
เนื่องจากวันที่ 29 มี.ค. ที่ไปย่านอะซะกุซะ
ก็ได้ซื้อตั๋ว Nikko Pass ในราคา คนละ 6,000 เยน
เป็นตั๋วที่รวมค่ารถไฟ จากสถานี Asakusa ไปสถานี Kinukawa-onsen
รวมถึงค่ารถบัสไปหน้า Edo wonderland และรวมค่าเข้าแล้วด้วย สรุปแล้วรวมทุกอย่าง
คือสรุปแล้ว ซื้อ 6,000 เยน ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรอีกแล้ว
ถ้าใครที่พักที่นิกโกะ ก็สามารถเข้า Edo wonderland ได้ 2 วันเลย
แต่เนื่องจากเราไม่ได้ค้าง ก็แค่ไปเช้า กลับเย็นแค่นั้น
รายละเอียดก็หาจากในกูเกิล เสริชคำว่า Nikko Pass แค่นี้ก็อ่านกันสบายๆ
แต่คุณสามีอยากลองนั่ง Spacia (รถไฟพิเศษ จ่ายเพิ่มเที่ยวละ1,040 เยน)
ก็พิเศษกว่ารถไฟธรรมดาตรงที่ ที่นั่งสบายกว่า เป็นส่วนตัวกว่า
มีที่นั่งเบาะรองหัวเวลาหลับได้สบาย หันหน้าไปทางหัวรถไฟ แค่นั่นเอง
ถ้ารถไฟธรรมดา จะเป็นที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน เบาะละ 2-3 คน ซ้าย-ขวา
ไม่เหมือนรถไฟฟ้าในเมืองธรรมดานะ ที่เป็นแนวยาว แต่ก็มีเบาะก็นั่งได้สบาย
คือสรุปเป็นว่า จ่ายเพิ่มสบายกว่า จบ.
ทีแรกคุณสามีอยากจะนั่ง Spacia ทั้งขาไป และขากลับ แต่เราคัดค้านไว้ก่อน
จริงๆไม่เห็นต้องนั่ง Spacia เลย แต่ก็ต้องเจอกันคนละครึ่งทาง
เลยเอาขาไปอย่างเดียวละกัน แต่เดี๋ยวจะเล่าเรื่องตลก ที่ในสถานการณ์จริงไม่ตลกเลยให้ฟัง(ให้อ่าน)
เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการตื่นเช้ามาก เพราะกลัวตกรถไฟ เพราะมันจะมีเป็นรอบๆ
แล้วเราซื้อ Spacia ตอน 8 โมง แต่กลายเป็นว่า ไปถึงที่ Tobu Asakusa ก่อน 7 โมงซะอีก
ก็เลยไปเดินเก็บตกที่ ย่านอะซะกุสะ ซะเลย
เพราะวันก่อนที่มา ท้องฟ้าครื้ม เมฆหม่นมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะ
วันนี้ได้มาตอนเช้าคนน้อย ฟ้าใสปิ๊ง แต่ร้านค้ายังไม่เปิดกันเลย
แต่ที่น่าชื่นชมคือ เห็นคนมาวิ่งกันเยอะ รวมถึงผู้สูงอายุ
มาเดินออกกำลังกายกันแต่เช้าเลย ทั้งๆที่อากาศก็หนาวน่านอนจะตาย
ได้เวลาเกือบ 8 โมง ก็เตรียมไปขึ้นรถไฟ spacia
รถดูดีมาก สมกับราคา แต่โหวงเหวงมาก ไม่ค่อยมีคน
มีตู้ที่ขายอาหารโดยเฉพาะด้วย มีห้องน้ำ นั่งสบาย
กินข้าวปั้นเป็นมื้อเช้า พอท้องอิ่มก็หลับปุ๋ย
ในระหว่างทาง ก็ได้ชมทัศนียภาพ ที่ไม่ค่อยเห็นในไทยคือ
การเกษตรที่ต้องกางมุ้ง ให้ผักผลไม้ ไม่รู้ว่ากางเพราะกันหนาว หรือกันแมลงนะ
แต่ท้องทุ่ง ไร่นา ทำไมดูสวยกว่าของไทยก็ไม่รู้ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
เหมือนทุ่งในแถบยุโรปเลย อาจเป็นเพราะอากาศหนาวก็ได้ ดอกไม้ก็ปลูกกันเยอะมาก
ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อเลย เพียงแต่ง่วงเท่านั้น ไม่อยากหลับเลย
แต่ตามันจะปิด เพราะตื่นเช้าด้วย แต่ก็ต้องคอยฟังว่าถึงไหนแล้ว
จริงๆ เขามีป้ายบอกมั๊ง แต่ไม่ทันมอง
พอตื่นมางัวเงีย รถไฟกำลังจอด ได้ยินคำว่า kinukawa-onsen ก็สะดุ้ง
รีบออกจากรถไฟไปเลย ไอ้ที่น่าขำคือ ไปกันสองคน สะดุ้งพร้อมกันสองคน
เฮ๊ย…ที่เขาประกาศน่ะ ถึงแล้วหรอ เออ…ไม่รู้สิ แต่ได้ยินเหมือนกันนะ
พูดไปก็วิ่งไป พอออกจากประตูปุ๊บ ประตูรถไฟก็ปิดทันที ไม่มีจังหวะให้เรารีรอเปลี่ยนใจเลย
ปรากฏว่าหันซ้ายหันขวา เฮ้ย…ทำไมลงกันแค่สองคนฟระ
สถานีนี้มันต้องมีคนลงเยอะๆดิ ดูบรรยากาศมันโหวงๆไงไม่รู้
มองหาป้ายสถานี อ้าว…เฮ๊ย นี่มันสถานี Shin-takatoku
แล้วไอ้ที่เขาประกาศมันอะไรอ่ะ
ได้ยินเต็มสองรูหูเลยว่า Kinukawa-onsen ยืนงง เอ๋อกันสักพัก
ก็มาคาดเอาเองว่า สงสัยเขาจะบอกว่า รถคันนี้ไป Kinukawa-onsen
แต่มันยังไม่ถึงอ่ะ แล้วจะพูดทำไม
ตอนนั้นเคว้งคว้างสุดๆ สภาพแวดล้อมดูบ้านนอกสุดขีด ไม่มีใครเลยสักคน
เรานั่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน ตกลงกันว่า งั้นเดี๋ยวรถไฟเที่ยวต่อไปมา ค่อยขึ้น
เราก้มลงดูตารางรถไฟ ที่ได้รับตอนซื้อตั๋ว Nikko Pass จะมีเวลาบอกว่าคันไหนออกกี่โมง
ดังนั้น รถไฟเที่ยวต่อไป จะเป็นรถไฟธรรมดา
เออ..สงสัยคงอยากให้เราเปรียบเทียบ ความสบายของรถไฟแต่ละชนิด
แต่เที่ยวถัดไป จะมาในอีก 30 นาทีนู่นแน่ะ เราก็รอแล้วรอเล่า
รอบข้างเงียบไร้ผู้คน มีแต่เสียงนกร้องจิ๊บจั๊บ ทุ่งหญ้าเขียวขจี
มีเฮลิคอปเตอร์แล่นลงลานกว้างของบ้านใกล้ๆด้วย งงเลย บ้านลักษณะโบราณ
แต่มีเฮลิคอปเตอร์มาลงจอด คิดเองว่าอาจจะเป็นเฮลิคอปเตอร์พยาบาล
หลังจากนั้นเสียงก็เงียบลงจนได้ยินแต่เสียงลม กับเสียงหายใจตัวเอง
สักพักก็เริ่มมีผู้โดยสารคนอื่น มารอเป็นเพื่อนให้ชื้นใจ เป็นเด็กผู้หญิง
หน้ารักสไตล์ญี่ปุ๊นญี่ปุ่น กับ 2 ตายาย เหมือนจะพาหลานเข้าเมือง
เพราะรอคนละฝั่งกับเรา ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีจัง เด็กดูร่าเริงสมวัย ตายายก็ดูใจดี
เหมือนนั่งดูซีรี่ย์ญี่ปุ่น ที่มีฉากทุ่งหญ้า มีภูเขาล้อมรอบ ไม่มีเสียงอะไรอื่น
นอกจากเสียงหายใจตัวเอง และเสียงหัวเราะของเด็กหญิง และรอยยิ้มของตายาย
ในเวลา 30 นาที เมื่อมาคิดย้อนหลังแล้ว รู้สึกว่าสั้นเหลือเกิน
แค่ 30 นาที รอไม่ได้หรือไงกัน จะหงุดหงิดอะไรนักหนา เดินเล่นถ่ายรูปไปก่อน
หรือถ้าเราเดินออกไปนอกสถานี แล้วกลับเข้ามาใหม่จะเสียเงินมั้ยน้า
ไม่ดีกว่า นั่งรอคันถัดไปอย่างใจจดใจจ่อ ชะเง้อมอง ว่าเมื่อไหร่จะมา
นั่งๆลุกๆอยู่อย่างนั้น หนาวก็หนาว พอมีรถไฟคันนึงผ่านมา
แหมเกือบจะยื่นมือออกไปโบกซะแล้ว นึกว่ารถเมล์บ้านเราไง กลัวไม่จอด
แต่พอรถไฟมาถึง ดันไม่เบรคซะนี่ ปรากฏว่าเป็นรถไฟผ่านมาเฉยๆ
ไม่ได้มีผู้โดยสาร รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้าจังเลย รอนานมากแล้ว
ไม่มีรถไฟท้องถิ่นสักคันเลยหรอ โทรมๆแบบบ้านเราก็ได้
อะไรก็ได้ผ่านมาสักคัน เพราะเลยไปอีกแค่ 2สถานีเท่านั้นเอง ก็ถึงแล้ว
มาแล้วๆ… รถไฟที่เรารอมาแล้ว อยากยื่นมือไปโบกเหมือนโบกแท็กซี่
โบกรถเมล์กลัวเขาไม่จอด รถไฟนี้เป็นรถไฟธรรมดา
ไม่ใช่ Spacia แต่ก็ดูดี นั่งสบาย ไม่ค่อยมีคนเหมือนกัน
ก็เลยคิดในใจว่า แหมบอกแล้วว่าไม่ต้องนั่ง Spacia หรอก
ใช้ไม่คุ้มเลยเห็นมั้ย รถไฟธรรมดาก็นั่งสบายดี
นั่งต่อมาแค่ 2 สถานี ก็ถึงซะที kinukawa-onsen
เนื่องจากคนที่ซื้อตั๋ว Nikko Pass จะไม่มีตั๋วรถไฟที่ให้เสียบเหมือนตั๋วทั่วไป
เราก็แค่โชว์พาสนั้นเดินผ่านจนท. เขาก็ ไฮ่…เชิญผ่านไปเลย
(เพราะทีแรกเราก็งงว่าไม่มีตั๋วจะเสียบยังไง)
จากนั้นก็รีบไปขึ้นรถเมล์ไป edo wonderland
เพราะรอบต่อไปคือ อีก 5 นาที รถจะออก (เขามีตารางเวลารถเมล์ออกให้มาด้วย)
มีป้ายบอกชัดเจน ไม่ต้องกลัว ออกมาปุ๊บเจอปั๊บ และออกตรงเวลาซะด้วยสิ
ระหว่างนั่งรถบัส เห็นมีประกาศว่าถึงป้าย Shin-takatoku
อ้าวเฮ้ย… นี่ชื่อมันคุ้นๆแฮะ แสดงว่าป้ายรถเมล์นี้ ก็อยู่ใกล้ๆ กับที่เราลงผิดเมื่อกี้น่ะสิ
หมายความว่า ถ้าเราเดินออกจากสถานี
เดินมารอรถเมล์ก็ได้ใช่หรือไม่ …ฮือๆทำไมโง่ยังงี้
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว อย่าดีกว่า เพราะจะไปรู้ได้ยังไง ว่าต้องรอตรงไหน ฝั่งไหน
ถึงจะใกล้กว่า แล้วต้องขึ้นคันไหน จะรู้มั้ยล่ะ
ไปตั้งต้นที่ kinukawa-onsen น่ะดีแล้วชัวร์กว่า
นั่งรถเมล์ไปอีกประมาณ 20 นาที ก็ถึง edo wonderland จอดด้านหน้าเลย
ในรถเมล์เป็นที่หยอดเหรียญค่าโดยสาร มีที่แลกเหรียญด้วย
เอาแบงค์พันเยนใส่เข้าไป เหรียญมันก็ออกมา ดูแล้วค่ารถเมล์มันแพงจัง
แต่เราไม่ได้เสียเพิ่ม แค่ยื่นบัตรให้คนขับดู ก็ผ่านไปได้
จากนั้นก็ต้องเอา Nikko Pass ที่ซื้อมา ไปแลกบัตรผ่านประตูก่อน
คนที่ขายตั๋วก็ใส่ชุดกิโมโน ทำผมแบบโบราณด้วย น่ารักจัง
ขนาดคนตรวจบัตรผ่านประตู ยังใส่ชุดสมัยเอโดะเลย
แต่วิกไม่ค่อยเนียนนะ ลอกเป็นแผ่นเลย สงสัยเหงื่อออก
จะไม่บรรยายบรรยากาศอะไรมาก เพราะสามารถเข้าไปดูในเวปของ edo wonderland ได้อยู่แล้ว
แต่จะขอบอกเลยว่า ใครที่คิดจะไปวันเดียวแล้วเที่ยวทั่วนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เพราะขนาดแค่ดูโชว์อย่างเดียว ยังไม่ครบเลย ไหนจะเดินดูสถานที่ต่างๆ มันกว้างใหญ่มาก
อีกอย่าง โชว์เขามีจำกัดจำนวนคนด้วยนี่สิ พอเราไปจะต่อแถว เขาบอกว่าเต็มแล้ว
รอรอบหน้า แล้วคิดจะมารอรอบหน้าในเวลาตามตารางแบบเป๊ะๆ ก็ไม่ได้นะ
ต้องมายืนรอแต่หัววัน คือโชว์เริ่ม 12.00 น. เราต้องมารอแล้วตอน11.30น.
เพราะคนมารอกันก่อนเยอะมาก ขืนมาตรงเวลาก็ไม่ได้เข้าอีก จะสู้ญี่ปุ่นนักต่อคิวได้ไง
และก็อีกนั่นแหล่ะ คนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ก็คนญี่ปุ่นอีกแล้ว
มีอยู่โชว์นึง สัมภาษณ์ผู้ชมคนหนึ่ง ถามว่าครั้งนี้มารอบที่เท่าไหร่แล้ว
ผู้ชมคนนั้นตอบว่า ครั้งที่ 4 เรางี้ตกใจเลย คนญี่ปุ่นนี่เขาช่างเที่ยวจริงๆ
ลองนึกดูว่า เราเคยไปดรีมเวิลด์กี่ครั้งแล้ว ไปสวนสยามกี่ครั้ง ไปท้องฟ้าจำลองกี่ครั้ง
เราไปแต่ละที่ก็แค่ 1-2 ครั้ง ไปเกิน 2 ครั้งก็เบื่อแล้ว
แต่ที่นี่เขาทำดีจริงๆ โชว์ก็เปลี่ยนอยู่เรื่อย พื้นที่ก็ดูวันเดียวไม่พอ
เรื่องโชว์ทุกชุด นักแสดงเขาเหมือนนักพากษ์การ์ตูนเลย
อย่างของการแสดงที่มีเกอิชา เขาพูดทีนี้ขนลุกเลย ทำเสียงอ่อน
เสียงคล้ายๆกระซิบ แต่ดัง มีพลัง บอกได้เลยว่า การแสดงทุกชุด
คุ้มค่าเวลาที่เสียแน่นอน เรายังอยากไปอีกเลยนะ
รู้อย่างนี้น่าจะไปค้างที่นิกโกะไปเลย จะได้เข้าอย่างอื่นด้วย
แนะนำเลย ไปค้างแถวนั้นเลยดีกว่า บรรยากาศไม่ดีเหมือน ฮาโกเนะ
แต่มันก็คุ้มกว่าไปเช้าเย็นกลับแน่นอน
เข้าไปในนั้น รู้สึกเหมือนหลงยุค เข้าไปในสมัยเอโดะเลย
ถ้าเป็นคนที่ดูหนังญี่ปุ่น ซีรี่ญี่ปุ่นด้วยแล้ว มันได้อารมณ์มากเลยนะ
ก่อนจะมาญี่ปุ่นก็กะจะไปเหิงเตี้ยนที่จีน เพราะอินกับหนังจีน
อยากไปดูฉากถ่ายทำ แต่ที่นั่นก็มีแค่ฉาก
สำหรับที่นี่มีทั้งชีวิต ชีวา บรรยากาศ บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง และมีโชว์
สรุปแล้ว สุดยอดมากๆๆๆ… ทำได้ดีมากในสายตาเรามากอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อเทียบกับราคาแบบนี้ ที่สำคัญ เขาบริการดี ยิ้มแย้ม
การแสดงทุ่มเท จริงจังไม่ใช่ขอไปที
และหนุ่มญีปุ่นหล่อๆ เท่ๆทั้งนั้นเลย สาวๆก็น่ารัก
มีความสุขกับที่นี่มาก จนไม่อยากกลับเลย
หลายคน พอเห็นเราแอบถ่ายรูป ก็รีบแอ๊คท่าให้ถ่ายแบบสวยๆ
คนใส่ชุดนินจา ก็ตั้งท่าแบบนินจา คนแต่งตัวถือดาบแบบซะมูไร
ก็รีบชักดาบออกมา ทำสีหน้าท่าทางฟันดาบ ให้เราถ่าย จะขออีกกี่ทีเขาก็ยังยิ้ม
ญี่ปุ่นช่างเป็นคนอดทนจังเลย ทำตามหน้าที่ได้ดีมาก
เรื่องอาหารการกิน เราซื้อขนมปังเข้าไปกินเอง ขนมในนั้น ไม่มีอันไหนน่ากินซะอย่างสำหรับเรา
ดูเหมือนไม่ค่อยเน้นขายอาหารเท่าไหร่ ถ้าเพิ่มตรงส่วนนี้ ให้มีขนมแบบโบราณมากขึ้น หลากหลายก็น่าจะดี
มีอีกเรื่องที่น่าแปลกใจ(สำหรับเรา) ในการท่องเที่ยวแต่ละที่
จะมีคนญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ต่างชาติผมทองไม่ค่อยมี (มีบ้าง แต่น้อยมาก)
คือปกติแล้ว เห็นคนญี่ปุ่นเวลามาเที่ยวเมืองไทย เห็นสะพายกล้อง เห็นอะไรๆก็ถ่ายๆๆ
แต่อยู่ที่นั่น เป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่เห็นเขาถ่ายรูปกันเลย
ก็มีบ้างใช้มือถือถ่ายกับมาสคอต ถ่ายตัวเอง แต่ไม่ค่อยเห็นถ่ายบรรยากาศ
หรือเป็นเราคนเดียวไม่รู้ที่ชอบถ่ายบรรยากาศ ไม่ชอบถ่ายตัวเอง
อีกเรื่องที่ตอนแรกก็ “งง” คือการดูโชว์ต่างๆ เขาจะแจกแผ่นกระดาษ
คล้ายๆกระดาษลอกลาย ขนาดประมาณ 3×3 นิ้ว ทีแรกรับมาก็งง ว่าให้มาทำอะไร
หรือเขาจะแจกขนม เอาไว้รอง หรือห่อขนมล่ะมั๊ง (คิดแต่จะกินน่ะ)
พอดูโชว์จบ ซึ่งก็ไม่ได้รู้เรื่องหรอก ฟังไม่ออก ดูแต่ท่าทางก็พอเข้าใจ
มุขที่เขาขำกันเราก็เอ๋อ แต่ตอนที่เราขำ กลับไม่มีคนขำ
พอโชว์กำลังจะจบ ก็เห็นคนรอบข้างหยิบอะไรไม่รู้ม้วนๆ ปั้นๆ เสียงกระดาษกรอบแกรบ
พอโชว์จบ ก็โยนไอ้ก้อนนั้นกันพรึ่บพลั่บ เหลือบมาเห็นเด็กคนนึง
กำลังเอาเหรียญที่แม่ส่งให้ แล้วเอากระดาษลอกลายอันนั้นแหล่ะ ห่อปั้นเป็นก้อน
เหมือนลูกกวาดที่มีจุกอันเดียว แล้วก็โยนไปหน้าเวที
ก็เลยร้องอ๋อ… เป็นการให้ทิป ให้กำลังใจคนแสดง สำหรับคนโบราณ
เหมือนการแสดงเปิดหมวกน่ะเอง ใครไปก็อย่าลืมทำแบบนี้ด้วยนะ
สนุกตอนโยนนี่แหล่ะ ถ้าใส่เหรียญน้อย เดี๋ยวโยนไม่ไกลไปตกลงหัวคนอื่นไม่รู้ด้วย
ขอย้ำอีกทีว่า ใครคิดจะไปเช้าเย็นกลับ ขอบอกว่าไม่พอนะ
เพราะกว่าจะไปถึงก็ 10-11 โมงแล้ว ที่นั่นเขาปิด 5 โมงเย็น
รถเมล์รอบสุดท้ายก็มีตอน 17.15 น. ดังนั้น ไปค้างสักคืนเถอะ
รูปด้านบนนี้ เป็นตารางเวลารถเมล์ขากลับ ที่เราพยายามค้นหาในอินเตอร์เน็ทแล้ว
แต่ไม่เจอเลย เราจึงถ่ายมาเผื่นมีประโยชน์ ทำให้สามารถกะเกณฑ์เวลาได้ดีกว่าไม่รู้เลย
เป็นรถเมล์จาก Edo wonderland ไปสถานี Kinukawa-onsen
ดัวเลข 9-17 ช่องแรกเป็นนาฬิกานะ
ส่วนตัวเลขถัดๆมากจะเป็นนาที เช่น 9.25 น. , 9.50 น. ,17.00 น.
ช่องที่สอง น่าจะเป็นเวลาขามา
ช่องที่สาม น่าจะเป็นเวลาขากลับ
สังเกตุว่า ตัวเลขมีเศษด้วยอ่ะ อย่าง 13.02 น.
โอ้โหเศษนาทีก็นับด้วย อะไรจะออกเป๊ะขนาดนั้น ทำไมไม่เป็นตัวเลขกลมๆก็ไม่รู้เนอะ
รูปนี้เป็น ตารางเวลารถเมล์ ขากลับ จาก Edo wonderland ไปสถานี Nikko Toshogu (สำหรับคนที่ขึ้นรถไฟของ JR นั่งฟรี)
สุดท้ายเรากลับถึงที่พักทันที ไม่แวะที่ไหนอีก เหนื่อยมาก
เพราะรถไฟธรรมดา จะใช้เวลานานกว่า Spacia กว่าจะถึงโรงแรม ก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่า
ขนาดออกจาก Edo wonderland ตอน 16.50 น. นะเนี่ยะ ถึงบอกว่าให้ค้างที่นี่สักคืนไง
ค่ากินวันนี้
ข้าวปั้นที่ family mart 210 เยน
Yoshinoya ข้าวหน้าหมู 2คน 760 เยน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
ขายไปรึยังคะ
ขายอะไรหรอคะ เวปนี้ไม่ได้ขายอะไรน๊าา ???