เที่ยวยุโรป SS1 D8 เที่ยว Passau-Regensburg
วันนี้พวกเราจะออกจาก Nuremberg ไปกันที่ Regensburg ฝากกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จ ค่อยไปต่อที่ Passau กันค่ะ
ทำไมไปเที่ยว Passau แต่นอนที่ Regensburg
จริงๆแล้ว Passau ไม่ได้อยู่ในแผนของเราในตอนแรกค่ะ แล้วก็ได้จองโรงแรมที่ Regensburg ไว้ก่อนแล้ว
แต่ที่อยากจะไป Regensburg ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้อะไรหรอกนะคะ แค่รู้สึกว่าเป็นเมืองใหญ่ มองจากแผนที่กูเกิลแล้ว ดูมันชุกชุมดี น่าจะมีอะไรบ้าง
จะข้ามไป Munich เลยก็ดูจะน่าเสียดาย โรงแรมที่ Regensburg ก็ถูกพอรับได้ ก็เลยจัดแผนแบบหลวมๆไว้ก่อน คิดได้ดังนั้น เอาวะ…จ่ายเลยๆ (จ่ายก่อนมันถูกลงอ่ะ)
อีกอย่างคือ คิดไว้ว่าจะเอาเป็นเมืองไว้พักผ่อน เพราะวันนี้ก็ครบสัปดาห์ก็น่าจะเหนื่อย แถมยังต้องเดินทางกันอีก 3 สัปดาห์ คือเดินเล่นในเมืองอะไรนิดหน่อย แล้วก็กลับมานอนโรงแรม
แผนโลภมาก
แต่ด้วยความโลภมันเข้าครอบงำค่ะ ก็เลยหาที่ไป เพราะดูแล้วเวลามันเหลือเยอะแน่ๆ
อ้าว…แล้วทำไมไม่เที่ยวใน Regensburg ล่ะ นั่นแหล่ะที่แอดมินเรียกว่า “ความโลภ” เพราะ Regensburg ก็อยากเดิน ที่อื่นก็อยากเพิ่มน่ะสิ
เปิดแผนที่กูเกิลขึ้นมาค่ะ… จากนั้นสแกนสายตาค่ะ ตรงไหนมีชื่อคุ้นๆบ้าง ตาไปสะดุดที่เมือง Passau เพราะเคยคุ้นชื่อนี้อยู่ พอค้นข้อมูลดู โอ้ว…มันใช่เลย
แต่…มันไกลไม่เบาเลยนะ เพราะมันติดชายแดนออสเตรีย โชคดี…Bayern ticket มันครอบคลุมนะ ก็เลย “เอาอันนี้แหละ”
Nuremberg – Regensburg – Passau – Regensburg
พอศึกษาเส้นทางไปแล้ว ทางไป Passau มันคือรถไฟเส้นทางเดียวกับไป Regensburg
คือมันคันเดียวกันเลยอ่ะ มันแค่ไปแวะ Regensburg ก่อน แล้วไปสุดสายที่ Passau แล้วค่อยกลับมานอน Regensburg อีกที “เป็นไง ไม่โลภเลยใช่มั้ย แหะๆ”
ยิงตรง หรือแวะเก็บของ
“ไหนๆรถไฟมันก็แวะ Regensburg แล้ว เราวิ่งเอากระเป๋าไปฝากโรงแรม แล้วรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถไฟกันมะ”
อันนี้บ้าไป
(โรงแรมอยู่ใกล้สถานี – แต่จริงๆก็ต้องใช้เวลาวิ่งลากกระเป๋า ไป-กลับ มากกว่า 10 นาทีแน่ๆ รถไฟบ้านไหนจะรอนานขนาดนั้น)
“หรือว่าแวะโรงแรมที่ Regensburg แหละ แต่รอรถรอบถัดไป”
แต่รถไปมันมีชั่วโมงละรอบนะ
“หรือว่าเราจะตรงไป Passau เลย แล้วฝากกระเป๋าที่ Locker ดีนะ”
เอออันนี้เข้าท่า
สรุปตกลงกันไว้ว่า ไปฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟที่ Passau ละกัน
แต่พอเอาเข้าจริง
“ไฟเบอร์มันทำงานดีเกินค่ะ” ปวดท้อง อยากพัก ก็เลยเสี่ยงลองไปเช็คอินที่โรงแรม เพราะที่เจอมา ibis ที่เป็นป้ายแดง เขามักจะให้เข้าห้องก่อนเวลาได้ ถ้ามีห้องเหลือ
และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เลิฟจริงๆ ibis แดง
สรุปก็คือ
จาก Nuremberg Hbf
ซื้อ Bayern ticket
นั่งรถไฟต่อเดียว ไป Regensburg Hbf
เช็คอิน ibis
พักผ่อน
สุดท้ายคือ ออกสายสิคะ
จากเดิมที่คิดไว้ว่าจะถึง Passau 8 โมง
สถานการณ์จริงคือ ไปถึง 11 โมง
โอย…จะได้กลับมาเดิน Regensburg มั้ยเนี่ยะ
ถ้าให้เปลี่ยนได้นะ ไปนอนที่ Passau ดีกว่าค่ะ สวยมาก…
Regensburg – Passau
หลังจากเก็บของที่โรงแรมใน Regensburg เรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าต่อไปยัง Passau เมืองแห่งแม่น้ำสามสี
ยังคงใช้ Bayern ticket ที่ซื้อมาเมื่อเช้าอยู่นะคะ นั่งรถไฟ Agilis (ตัวย่อ ag หรือ as มีสัญลักษณ์เป็นรูปนก) ต่อเดียว จาก Regensburg ชั่วโมงกว่าๆก็ถึง Passau แล้วค่ะ
รู้จัก Passau
Passau เป็นเมืองชายแดนติดกับ Austria และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ที่จุดตัดของแม่น้ำสามสาย ที่มาบรรจบกันพอดี
ได้แก่ Danube , Inn และ Ilz
ก็เลยเรียกเมืองนี้ว่า City of three river เมืองแห่งแม่น้ำสามสายนั่นเองค่ะ
เป็นเมืองที่มีนักศึกษาเป็นจำนวนมากเมืองหนึ่ง มากขนาด 10,000คน จากประชากรทั้งหมด 50,000 คน
แปลว่าเห็นเดินผ่านมา 5 คน จะเป็นนักศึกษาซัก 1 คนเลยทีเดียวเชียว
Passau ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ชาวเคลต์ (Celts) ที่มาจากทางตอนเหนือของบาวาเรีย แล้วเข้ายึดพื้นที่แถวนี้ได้สำเร็จ ก่อนสมัย Roman ซะอีกค่ะ
ต่อมา ยุค Roman ก็เลยมาตั้งป้อมไว้บนเนินเขาที่ปัจจุบันเรียกว่า Veste Oberhaus ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีมาก
สิ่งที่ทำเงินมหาศาลให้เมือง Passau ก็คือ การค้าเกลือ มีการทำการค้าขายกับชาวโบฮีเมีย หรือในสมัยนี้ก็คือสาธารณเชค โดยแหล่งเกลือก็คือ Salzburg นั่นเอง
(จริงๆเกลือมาจาก Bad Reichenhall ซึ่งอยู่ใกล้ Salzburg มากค่ะ)
สรุปก็คือเป็นเส้นทางค้าขายที่ตี เพราะมีแม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน สินค้าก็สามารถลำเลียงมาจากทุกแห่งได้
การเดินทางไป Veste Oberhaus
นั่งรถ shuttle bus จากหน้า town hall เป็นรถตู้ที่นั่งแสนสบาย (ไม่ใช่คันเล็กๆเหมือนรถตู้ไทยนะ)
รถออกทุก 30 นาที 1.8 ยูโรต่อเที่ยว พวกเราไม่ได้นั่งขึ้นไป แต่ใช้นั่งกลับลงมาค่ะ เพราะขาไปเดินฝั่งตรงข้าม แล้วก็ไม่รู้ในตอนแรกด้วยค่ะ
ทางเดินขึ้นจะอยู่ตรงข้ามกับสะพานที่จะข้ามไป Rathaus ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ระยะทางก็ประมาณ 2-3กม. ไม่ได้วัดอะไรแน่นอน แต่สนุกดี และเหนื่อยพอหอมปากหอมคอค่ะ
จากวันก่อนๆที่ได้ลองไต่เนินขึ้นไปชมวิวแล้ว ทำให้พวกเรารู้สึกว่า พวกเราชอบเดินขึ้นเขาจริงๆค่ะ มันได้อารมณ์ สนุก แล้วรู้สึกว่า พอได้เดินขึ้นไปถึงข้างบน เห็นวิวแล้ว มันเหมือนเป็นรางวัลที่คุ้มค่ามากๆค่ะ
Veste Oberhaus หรือ “Former Castle of Prince-Bishops of Passau”
เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นเมื่อปี1219 เพื่อป้องกันข้าศึกจากออสเตรีย ในสงครามของนโปเลียน
ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่า บริเวณนี้เป็นทำเลที่ดีในการสอดส่องป้องกันภัย เพราะสามารถเห็นแม่น้ำทั้งสามสายที่ไหลมารวมกันอย่างชัดเจน
ที่นี้ยังมีคุกใต้ดิน ที่เอาไว้สำหรับขังคนที่นับถือ Protestant Anabaptists ซึ่งขัดแย้งกับบิชอปด้วย
แต่ภายหลังปี 1822 ก็ใช้เพื่อจำคุกนักโทษการเมือง และนักโทษทางทหารเท่านั้น
ปัจจุบันจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงประวัติศาสตร์ต่างๆ รวมถึงบริเวณใกล้เคียงกันก็จะมีพิพิธภัณฑ์หลากหลาย เช่น fire fighting, ceramics, crafts, military และ historical displays
หันหลังเดินต่อไปดูจุดตัดของแม่น้ำสามสาย แม่น้ำอิน (Inn) แม่น้ำดานูบ (Danube) และแม่น้ำอิซ (Ilz) กันดีกว่า ตรงนั้นจะเป็นสวนสาธารณะ มีท่าเรือ ที่ทัวร์เรือมักมาลง
St. Stephen’s Cathedral (Dom St. Stephan)
เป็นโบสถ์ประจำเมือง Passau
ภายในมี organ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (17,974 pipes)
Ogan คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง เวลาคนเข้าโบสถ์ก็จะมีการร้องเพลงดีดเปียโน เล่นogan (pipes คือหน่วยของ Ogan)
สำหรับพวกเราตอนดูภายนอกก็ถือว่าใหญ่ปานกลาง และดูเรียบๆนะคะ แต่พอเข้าไปด้านในแล้ว แค่ก้าวแรกก็ต้องร้อง “ว้าววว…” แล้วค่ะ
ทั้งเพดาน ทั้งรูปปั้น ทุกอย่างในนั้น มีรายละเอียดไปหมดเลยค่ะ บรรยายไม่ครบแน่ๆ แต่ที่แน่ๆคือ พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า “สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา” เลยล่ะค่ะ อยากจะบอกว่าสวยที่สุดในทริป 29 วันนี้ก็ได้นะ
ถามว่าคุ้มค่ามั้ยกับการไป เที่ยว Passau ครั้งนี้
ตอบได้เร็วๆเลยค่ะว่า “คุ้มมาก” เพราะมันสวยจริงๆ ยังคิดเจ็บใจไม่หายว่า น่าจะได้ค้างด้วย แต่ที่พักค่อนข้างแพงค่ะ
สรุปความประทับใจ เที่ยว Passau
1. วันนั้นฝนตกทั้งวันแบบปรอยๆ พอเดินเที่ยวได้ค่ะ ทำให้ฟ้าค่อนข้างหม่นๆ เดินไปก็หนาวไป แถมยังต้องกางร่มอีก คิดดูว่าถ้าอากาศดี มันจะสวยขนาดไหน
2. ยังมีที่ที่อยากเดินไปอีก แต่เวลาน้อยค่ะ กว่าจะมาถึงก็สิบโมงกว่า ขากลับตอนเย็นก็ฝนตกหนักขึ้นอีก เหลือเวลาเป็นชั่วโมง นั่งกินขนมปัง รอเวลารถออก 4โมงกว่าๆ แต่ได้เที่ยวจริงๆประมาณ 5 ชั่วโมง (ก็เยอะนะ แต่ทำไมรู้สึกว่าน้อยก็ไม่รู้)
3. พิพิธภัณฑ์ไม่สามารถใช้ตั๋ว 14-days ticket ได้นะคะ แต่แค่เดินอย่างเดียวก็ไม่ค่อยมีเวลาแล้ว ถ้าเข้าพิพิธภัณฑ์อีกคงต้องอยู่ซัก 2 วันค่ะ
4. การเดินทางในเมือง จริงๆก็มีบัสนะคะ แต่ไม่ยักกะเห็นซักคัน และรอบรถน้อยมาก ชั่วโมงละคัน แต่ไม่ใช่ปัญหาค่ะ เพราะเมืองเล็กนิดเดียว มีที่ให้เดินเล่นไปทั่ว จะขึ้นบัสทำไม
5. สุดท้าย จุดที่ต้องไปนอกจากขึ้นเนินชมวิวที่ Oberhaus แล้ว อีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดก็คือ จุดบรรจบของแม่น้ำ 3 สาย และ 3 สี
ตรงนั้นจะเป็นแหลมเล็กๆ เป็นสวนสาธารณะ ตรงนั้นวิวสวยมากค่ะ พาโนรามา
จนคิดว่าน่าจะมีเรือให้ถีบเล่นนะ และอย่าลืมหอบของกินไปนั่งกินเคล้าบรรยากาศตรงนั้นด้วยนะคะ มันสุดยอดจริงๆ
เที่ยว Regensburg
จบจาก Passau พวกเรานั่งรถไฟกลับมาที่ Regensburg ไม่รีรอใดๆ ไม่แวะโรงแรม แต่รีบไปที่ old town ทันทีค่ะ
จาก hbf ไปเมืองเก่าต้องนั่งบัสไปค่ะ ถ้าเดินคงจะนาน และเมื่อยแน่ๆ ไหนๆก็มี Bayern ticket แล้ว ต้องใช้ให้คุ้มค่ะ
นั่งบัสมาลงใจกลางเมือง ตรงที่เป็นสะพานหิน ที่เขาว่าเป็นสะพานต้นแบบของสะพานหลายๆที่ในยุโรป รวมถึงสะพานชาร์ลที่กรุงปรากด้วยค่ะ
สะพานหินเก่าแก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Regensburg อันหนึ่งเลยค่ะ
เมียหลวง Regensburg
ที่บอกว่า “Regensburg เป็นเมียหลวง” ก็เพราะว่า พวกเราไม่เห็นความสำคัญของ Regensburg ในตอนแรกค่ะ แต่จองโรงแรม และจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยยกเลิกไม่ได้
เปิดแผนที่ขึ้นมา เห็นเมืองเล็กนิดเดียว ดูแล้วไม่มีอะไรมาก เวลาคงเหลือกลับมาต่อยังได้
ก็เลยออกไปหากิ๊กค่ะ ได้ Passau มาไว้ในครอบครอง กอดจูบลูบคลำซะจนหนำใจ
ตอนเย็นกลับมา Regensburg เดินเที่ยวไปซักพัก เริ่มเสียดายค่ะ เฮ้ย…มันก็สวยนี่ ยังมีฝั่งตรงข้ามเมืองเก่า เป็นบ้าน น่าเดินเหมือนกันนะ แต่ไม่มีเวลาแล้วค่ะ
ขนาดโบสถ์ประจำเมือง (Regensburg Cathedral) ที่ใหญ่โต สวยงามมาก ยังไม่ได้เข้าเลยค่ะ เพราะ “ปิดแล้ว” (โบสถ์ปิด 6 โมงเย็นในหน้าหนาว)
สะพานหินที่เรื่องชื่อว่า เป็นต้นแบบของสะพานทั้งหลายในยุโรป ก็ปิดซ่อม เหมือนโดนลงโทษไม่ให้เข้าห้องนอน
ดีนะ “เมียหลวง” ยังเหลือกับข้าวไว้ในตู้เย็นได้อุ่นกินบ้าง เพราะซุปเปอร์ที่สถานีรถไฟยังเปิดถึง 2 ทุ่ม
สรุปแล้ว เดินเที่ยวด้วยความสำนึกผิด แต่กิ๊กที่ Passau ก็สวย และไม่อยากจะพลาดนะ ถ้าให้แนะนำ คงเลือกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ ว่าจะไปที่ไหนดี เอาเป็นว่า จัดวันไปทั้งสองที่ ค้างทั้งสองที่ไปเลยนะคะ
มา Regensburg เที่ยวอะไร
จุดเด่นๆก็คือ เมืองเก่าที่เคยเป็นจุดศูนย์กลางในยุคกลาง โบสถ์ (Dom St.Peter) ยอดแหลมๆสองยอด ที่เห็นได้แต่ไกล และสัญลักษณ์อีกอย่างก็คือ สะพานหิน (Stone Bridge) แบบยุคกลาง(ตอนนี้ เมษายน 2559 ปิดซ่อมค่ะ)
เมือง Regensburg เป็นเมืองที่ไม่ถูกทำลายจากภัยสงคราม และเนื่องจาก Regensburg เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่ยุคกลาง ถือว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองในยุคกลางที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลกด้วย
เมือง Regensburg ยังได้รับฉายาว่า “the northernmost city of Italy” ตอนหน้าร้อนจะมีร้านอาหารแบบ outdoor เหมือนในอิตาลี ทั้งถนน บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง รวมถึงร้านอาหาร ก็เป็นสไตล์อิตาลีด้วยนะ
พวกเราเดินยังไม่ทั่วก็ต้องรีบไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนที่มันจะปิด ยังเสียดายไม่หายเลย ที่เดินไม่ครบ (เดี๋ยวจะเห็นแอดมินเขียนแบบนี้ไปซะทุกเมืองเลยค่ะ แหะๆ..)
จุดเด่นของ Regensburg
ถือเป็นที่เก่าที่สุดเมืองหนึ่ง ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยโรมัน ปี 179 เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีประชากรกว่า 137,000 คน เมืองเดียว มีมหาวิทยาลัยถึง 3 แห่ง และแลนด์มาร์คที่สำคัญอีกมากมายที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง
เมืองเก่าของ Regensburg ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วตั้งแต่ปี 2006
ประวัติ Regensburg
พื้นที่แถบ Regensburg มีประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อประมาณ 5000 ปี ก่อนคริสตกาล ตั้งแต่ช่วงยุคหิน ก็มีมนุษย์มาตั้งรกรากอยู่ริมแม่น้ำดานูบแล้ว
1000 ปีก่อนคริสตกาล พบว่ามีพวกชาวเคลต์ (Celt) เริ่มมาตั้งรกราก
ประมาณ ค.ศ.90 ชาวโรมันแผ่อำนาจเข้ามาถึงบริเวณที่ในปัจจุบันเรียกว่า Kumpfmühl
ค.ศ.179 ทัพโรมันเข้ามาสร้างป้อม Castra Regina แถวแม่น้ำ Regen
ประมาณศตวรรษที่6 ป้อม Castra Regina ที่รู้จักกันในชื่อ Reganespurc ได้กลายเป็นคฤหาสน์ของดยุก Agilof แล้วยังถือว่าเป็นเมืองหลวงแรกของรัฐบาวาเรียด้วย
ประมาณศตวรรษที่12-13 ช่วงนี้เศรษฐกิจเฟื่องฟูจากการค้าขายกับปารีส เวนิส และ เควฟ
Regensburg ถือว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุด และมีประชากรมากที่สุด สิ่งก่อสร้างผุดขึ้นในสไตล์ Romanesque และ Gothic
ค.ศ.1135-1146 มีการสร้างสะพานหิน ซึ่งถือเป็นต้นแบบของสะพานในยุคกลางหลายๆแห่ง เช่นสะพาน Charles Bridge ที่กรุงปราก
ค.ศ.1245 จักรพรรดิเฟเดอริกที่2 ได้มอบเมือง Regensburg นี้ให้มีการปกครองแบบอิสระ มาจนถึงค.ศ.1803เลย
ค.ศ.1542 สภาของเมืองได้รับนิกายโปรเตสแตนท์เข้ามา ซึ่งถือว่าเป็นความเชื่อใหม่
ค.ศ.1663-1806 เมือง Regensburg เป็นที่ตั้งของ the Perpetual lmperial Diet
ค.ศ.1806 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย ซึ่งก่อนหน้านี้ Regenburg ถือว่าเป็นราชรัฐบริวารของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์
ค.ศ.1838 Regensburg เป็นเมืองหลวงของ Oberpfalz และ Regensburg ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรียกว่า Upper Palatinate
ค.ศ.1946 Regensburg ถูกจัดเป็นเมืองหลักเมืองหนึ่ง
ค.ศ.1965 วางศิลาฤกษ์มหาวิทยาลัยแห่งบาวาเรียแห่งที่4
ค.ศ.1979 Regensburg ฉลองครบรอบ 1800 ปี ของมูลนิธิ Castra Regina (ป้อมปราการริมแม่น้ำ Regen)
ค.ศ.1995 ก็เพิ่งจะฉลองครบรอบ 750 ปี ของการเป็นเมืองอิสระ
ค.ศ.2006 Regensburg ถูกบันทึกใน UNESCO World Heritage List ในปีเดียวกับที่ได้รับการมาเยือนของ Pope Benedict XVI
เดินชมเมือง แต่จริงๆยังไม่หนำใจท่ามกลางสายฝนปรอยๆ หนาวๆ ซื้อของซุปเปอร์ ก็กลับถึงโรงแรมซะเกือบมืดเลยค่ะ
ตั๋วที่ใช้เดินทางวันนี้
- Bavaria Ticket 2 คน 28 ยูโร (Nuremberg-Regensburg-Passau-Regensburg)
- ไม่มีค่าเข้าสถานที่ใดๆค่ะ
วางแผนเที่ยว Passau – Regensburg
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ