รีวิว เที่ยวยุโรป SS1 D3 Heidelberg
ความเดิมตอนที่แล้ว เที่ยวยุโรป SS1 D1-2 Frankfurt
วันที่3 ไป-กลับ แฟรงค์เฟิร์ท-ไฮเดลเบิร์ก
เช้านี้พวกเราจะ day trip ไปไฮเดลเบิร์กกันด้วย Flixbus แล้วกลับมานอนที่แฟรงค์เฟิร์ทนะคะ ในราคาคนละ 6 ยูโร มี 4G wi-fi ห้องน้ำ กระเป๋า 30 กก. คนละ 2 ใบ ดีงามจริงๆ
เจอคนใจดีพาไปส่ง
เดินๆอยู่ก็มีผู้ชายคนนึง เข้ามาถามว่า “จะไปไหน” (คงเห็นพวกเราดูแผนที่ในมือถืออยู่) เขาถามมาก็ตอบสิคะ จริงๆไม่ต้องตอบก็ได้นะ แต่ตอนนั้นเฟรชชี่มาก สำหรับคนที่เหยียบยุโรปครั้งแรก มองโลกในแง่ดีไปหมด
เขาก็กวักมือให้ตามเขาไป แล้วก็เดินแบบเร็วมาก เราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรนะ เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมง แล้วเราก็ไม่ได้หลงอะไรด้วย ก็มีแผนที่อยู่ แค่กำลังดูทาง แกะทางเฉยๆ
แต่ในเมื่อเขาจะช่วย ก็เดี๋ยวจะเสียน้ำใจ และด้วยความอยากรู้ สองเท้าก็เดินตามไปโดยอัตโนมัติ
ไม่ได้มีแต่ญี่ปุ่นหรอเนี่ยะ
ในความคิดตอนนั้น ด้วยความที่ติดภาพของญี่ปุ่นมามากค่ะ เคยไปญี่ปุ่นแล้วก็มีคนเข้ามาถามแบบนี้แหละ ตั้งหลายครั้งด้วย แต่เขาบอกเราไม่ถูก ก็เลยเดินพาเราไปแทน(เกรงใจจะตาย คือไม่ต้องเดินไปกับเราก็ได้ไง)
เราก็คิดว่า เฮ้ย…ฝรั่งเขาใส่ใจนักท่องเที่ยว ช่วยเหลือกันแบบนี้ เหมือนญี่ปุ่นเลยหรอ ไหนใครว่าเขาไม่ค่อยสนใจใครไง งงมาก…แต่ก็เดินตาม (ห่างๆ เพราะเดินตามไม่ทัน 555+)
ว่าแล้วเชียว รู้สึกแหม่งๆ
พอมาถึงจุดตรงหัวมุมถนน เขาก็หยุด แล้วชี้ไปที่รถบัสที่จอดเรียงรายกันหลายยี่ห้อ เราก็บอกขอบคุณไป แต่เขาดันมาหักมุมความรู้สึกของพวกเรา ด้วยประโยคอันยาวเหยียด แต่ฟังดูแล้วมันก็คือ “ขอเงิน” นั่นเอง
เขายกมาทั้งแม่น้ำดานูป ทั้งแม่น้ำไรน์ บอกว่า จะไป…(ที่ไหนซักที่นี่แหล่ะ) ต้องจ่ายค่ารถไฟ 60 ยูโร แต่อินเตอร์เน็ทเขามันเจ๊ง(แล้วมันเกี่ยวอะไรไม่รู้นะ)
พวกเราก็บอกว่า “ไม่มี” เพราะจ่ายค่ารถไว้แล้ว
เขาก็เลยบอกว่า “ถ้างั้นขอแค่ 1-2 ยูโรก็ได้” (กำขี้ดีกว่ากำตดสินะ) “จะได้ไปขอคนอื่นต่อ รวมๆกันเผื่อจะได้ครบค่าเบียร์ เอ้ย…ค่ารถไฟ” (อันนี้เติมเอง)
พวกเราก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ (ถ้าเดือดร้อนจริงๆ ทำไมไม่หาวิธีอื่นที่ไม่ใช่มาขอเงินนักท่องเที่ยวละวะคะ)
ชิ่งดีกว่า
เขาก็ยังไม่ละความพยายามนะ กวักมือให้ไปดูบอร์ดอะไรไม่รู้ แต่พวกเราไม่ได้เดินตามไป แต่ยังไงก็ต้องเดินไปทางนั้นน่ะสิ เพราะมันเป็นทางที่รถ Flixbus ต้องมาจอด (ดูจากแผนที่ที่ได้รับจากอีเมล)
แต่ก็ตัดสินใจไม่สนใจผู้ชายคนนั้น ปล่อยให้เขาพูดคนเดียวไป คนอะไรอยากช่วยจนเกินเหตุ แล้วก็รีบเดินเข้าไปในที่คนยืนเยอะๆ
น้ำใจงาม หรือ ซื้อบุญ
ถามว่าแค่ 1-2 ยูโร ก็ให้ๆเขาไปเถอะ ถ้าทำแบบนี้มันก็เหมือนปัญหาขอทานบ้านเราแหละค่ะ ที่มีขอทานเยอะขนาดนี้ก็เพราะมีคนให้อยู่นั่นแหละ
คนไทยมีน้ำใจ เรื่องนี้ไม่เถียง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเขาหรอก มันไม่ได้ช่วยอะไรสังคมเลย มันมีแต่จะทำให้สังคมแย่ลงต่างหาก
เราให้เขา เราก็รู้สึกว่าเราสูงส่งกว่าเขา สงสารเขา รู้สึกว่าเราได้บุญ แต่ถ้าใครสูงส่งกว่าเรา เราก็กลับไปอิจฉาเขา ตกลงว่าต่ำกว่าให้ได้ด้วยความภูมิใจ แต่อย่าสะเออะมาสูงกว่าชั้นล่ะ
ส่วนตัวคิดว่า การให้ขอทาน มันเป็นการส่งเสริมธุรกิจที่มีสินค้าที่ชื่อว่า “ความน่าสงสาร” ค่ะ
บทเรียนแรกในยุโรป
กลับมาที่แฟรงค์เฟิร์ทของเรานะคะ ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าเราหยิบเงินแค่ 1-2 ยูโร มันจะทำให้เขาเห็นกระเป๋าเงิน เห็นจุดที่เก็บเงิน
หรือไม่ก็อาจจะยกแม่น้ำอื่นๆในเอเซียมาสมทบ เพื่อดึงเงินจากกระเป๋าคนใจอ่อนอย่างเราอีกแน่ๆ หรือไม่ก็ฉกเงินไปทั้งกระเป๋า ต่อหน้าต่อตาเลยก็เป็นได้นะ
ยอมรับว่าผิดพลาดมากๆค่ะ ที่ไปไว้ใจคนแปลกหน้า ก็เลยอยากเตือนทั้งตัวเอง และคนอื่นๆว่าให้ “รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดดี”
ไม่ได้ถึงกับหวาดระแวงคนแปลกหน้าไปซะหมดนะ คนทั่วๆไปที่เจอมาก็ดีกันหมดนะคะ แค่ว่าต้องเอะใจ รักษาระยะห่าง และเอาตัวรอด
ถึงแล้ว… Heidelberg
Flixbus มาส่งใกล้ๆกับ Hbf ที่ไฮเดลเบิร์กเลยนะคะ ใกล้มาก แต่เป้าหมายแรกก็คือ ปราสาทไฮเดลเบิร์ก
ซื้อตั๋วอะไรดี
พวกเราเลือกใช้ตั๋ววันแบบกลุ่ม 2-5 คน 9.2 euro (ถ้าคนเดียวประมาณ 6.5 euro) สามารถใช้ขึ้น รถบัส รถราง (รถไฟก็ใช้ได้ แต่ไม่ได้ใช้หรอก) ได้ภายในเขตเมืองเก่า มหาวิทยาลัย Hbf และรอบๆใกล้ๆ
แต่ถ้าใครมาแค่เมืองเก่า และปราสาทเฉยๆ ซื้อแค่ตั๋วเที่ยวเดียวระยะสั้น 1.3 euro (Hbf ไป old town) ก็พอค่ะ
ราคาตั๋วเที่ยวเดียว ในเมือง มหาวิทยาลัย เมืองเก่า 1.8-2.5 euro ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง
ไปปราสาทไฮเดลเบิร์กยังไง
การเดินทางระหว่าง Heidelberg Hbf กับ Old town จริงๆแล้วถ้าขยันเดินหน่อยก็ประมาณ 2 กม.เอง
จะไปปราสาทไฮเดลเบิร์กให้ลงป้ายที่ชื่อว่า “Rathaus/Bergbahn”(N15)
ค่าเข้าปราสาท และ Funicular จะรวมกัน 7 ยูโรนะคะ แยกซื้อไม่ได้นะ
ถึงแล้ว Heidelberg Castle
ปราสาทไฮเดลเบิร์กตั้งอยู่บนเนินเขาสูงประมาณ 90 เมตร เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 แต่น่าสงสารเพราะทั้งถูกไฟไหม้ ฟ้าผ่า ถูกเผา ถูกทำลายจากสงคราม
เมื่อสงครามจบลงในปีค.ศ.1697 แต่ปราสาทและเมืองถูกเผาทำลายจนยากที่จะสร้างขึ้นใหม่ แถมยังต้องใช้เงินจำนวนมาก
สวนในตำนาน
ค.ศ.1616-1619 พระเจ้าเฟดเดอริคที่5 ได้สร้างสวนอลังการเพื่อเป็นที่ฉลองพิธีแต่งงานการเมือง กับเจ้าหญิง อลิซาเบธ สจ๊วต จากอังกฤษ ซึ่งมีอายุยังไม่ถึง17 ปี
โดยมีพิธีเฉลิมฉลองที่แพงมหาแพง แถมยังเร่งสร้างประตูในสวนให้เสร็จภายในคืนเดียว
มีครั้งนึงที่พระเจ้าเฟดเดอริคที่5 ต้องไปอยู่อังกฤษเกือบครึ่งปี ทิ้งให้เจ้าหญิงผู้เอาแต่ใจอยู่ที่ปราสาท เจ้าหญิงก็เลยเกิดไอเดียต่อเติมปราสาทใหม่ซะเลย
โดยเรียกสถาปนิกชื่อดังมาจากอังกฤษ ปรับเปลี่ยนสวน และห้องต่างๆ จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกไปเลย แต่ถูกทำลายไปแล้วนะ ไม่ได้ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมค่ะ
Heidelberg Tun ถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1715 Prince Elector Karl Theodor ใช้เป็นการเก็บภาษี ถึงสูงถึง 7 เมตร กว้าง 8 เมตรครึ่ง เก็บไวน์ได้ถึง 220,000 ลิตร ปัจจุบันเป็นร้านอาหาร ร้านนั่งจิบไวน์ ดื่มเบียร์ กินขนม
Apothecary Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ยา เล่าประวัติศาสตร์ยา การผลิตยา วัตถุดิบสมุนไพรกว่า 1000 ชนิด สูตรตำรับยา อุปกรณ์ และเทคนิคต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่17-19
ส่วนนี้ห้ามถ่ายรูป/ถ่ายวิดีโอค่ะ ด้านในน่าสนใจดีนะคะ มีให้เดินเยอะกว่าที่คิดค่ะ ข้อมูลก็เยอะ ของก็เยอะ
สรุปแล้วส่วนนี้แนะนำให้เข้าค่ะ
Castle lighting
มีการจุดพลุ เพื่อรำลึกถึงการถูกเผา 3 ครั้งใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ (ค.ศ.1689 ,1693 ,1764)
พลุสองครั้งแรก ระลึกถึงเหตุการที่เกิดจากกองทัพฝรั่งเศส
ส่วนพลุครั้งสุดท้าย เกิดจากฟ้าแลบฟ้าผ่า
โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์แรกของเดือนมิถุนายน เดือนกันยายน และเสาร์ที่สองของเดือนกรกฎาคม
จุดชมวิว
จุดชมวิวมี 2 ส่วนนะ คือจุดฟรีด้านนอกปราสาท กับจุดที่ต้องเสียเงินเข้าไปข้างในปราสาท
จุดที่เห็นในรูปด้านบน ต้องซื้อตั๋วเข้าปราสาท ก็จะได้เข้ามาในส่วนนี้ค่ะ
ส่วนถ้าใครที่ไม่อยากเสียค่าเข้าปราสาท ก็ต้องเดินขึ้นมาเองนะ ขึ้น Funicular ไม่ได้ แต่ก็สามารถมาชมวิวสวยๆ (แอดมินว่าสวยกว่านะ) ดังรูปด้านล่างนี้ค่ะ
สรุปความประทับใจ ปราสาทไฮเดลเบิร์ก
1. ภายในปราสาทให้ 7/10 สวยค่ะ แต่นึกว่าจะได้เข้าไปตามห้องต่างๆบ้าง มีที่ให้เดินสำรวจน้อยไปหน่อย แต่โอเคแล้วค่ะ
2. วิวบนระเบียงภายในปราสาทให้ 10/10 เลยค่ะ สวย ประทับใจมากค่ะ
3. อย่าลืมอ้อมไปสวนด้านหลังปราสาทนะคะ (เพราะพวกเราลืมค่ะ)
4. พวกเราใช้เวลาในส่วนนี้ 2 ชม. ค่ะ
สำรวจเมืองเก่า
จบจากปราสาทไฮเดลเบิร์ก พวกเราก็ไปสำรวจเมืองเก่ากันต่อ บอกได้เลยว่า…”รักแรกพบเลยเมืองนี้”
บริเวณ Marktplatz จะมี Heiliggeistkirche (The church of holy spirit) มีหอคอยให้ขึ้นไปชมวิวด้วยนะคะ คนละ 2 ยูโร แต่พวกเรางกค่ะ กลับมานึกดูอีกทีก็น่าเสียดายอ่ะ
เดินไปเรื่อยๆจะเจอ National Library จะเห็นนักศึกษาเยอะมาก
เดินต่อมาอีกก็จะเจอ Heidelberg marstall ในนั้นจะมีโรงอาหาร น่าจะราคาถูกนะ เพราะนักศึกษาต่อคิวกันเพียบเลย
เดินวนมาถึงสะพานเก่า Alte Brücke หรือชื่อจริงๆว่า Karl Theodor Bridge เป็นสะพานหินเก่าแก่ เชื่อมั้ยว่าสะพานที่เห็นอยู่นี้ เป็นสะพานที่สร้างขึ้นมาถึง 9 ครั้งแล้ว
ครั้งแรกสร้างขึ้นสมัยโรมัน ประมาณปี 200 นู่นแน่ะ ที่น่าทึ่งมากๆก็คือ มันอยู่มาได้เป็นพันปีโดยไม่ถูกทำลาย แต่มาพังเพราะหลายสาเหตุ ในช่วงศตวรรษที่13-15
ต้องลองไปยืนบนสะพานค่ะ แล้วมองออกมา โอ้วโหวว…มันช่างสวยเหมือนในภาพวาดจริงๆ
สรุปความประทับใจ Heidelberg Old Town
1. เป็นเมืองเก่าแรกที่พวกเราได้เดินก็เลยประทับใจมากๆ ให้ 9 /10
2. เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก มีคนใช้ชีวิต คึกคัก แต่ก็ไม่วุ่นวาย เป็นระเบียบ รักษาความเป็นเอกลักษณ์ สวย
3. เสียดายที่ไม่ได้เดินจนทั่ว เพียงแค่เพราะมีเวลาอยู่ที่เมืองนี้แค่ตอนเย็นเท่านั้น
4. ถ้าให้มาอีก จะต้องค้างที่นี่อย่างน้อย 1-2 คืน ออกมาถ่ายภาพตอนกลางคืนก็น่าจะสวยนะคะ
5. วิวที่สะพาน สวยมากๆจริงๆค่ะ ให้ 10/10 เลยค่ะ
ทางขึ้น Philosopher’s way
ทางขึ้นหายไม่ยากเลยค่ะ พอข้ามสะพานมาปุ๊บทางขึ้นก็จะอยู่ตรงข้าม เป็นซอยเล็กๆ มีป้ายบอกว่า “Philosophenweg”
เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอบันไดหินเตี้ยๆ ทางเดินแคบๆ และกำแพงสองข้างทาง ไม่รู้สึกเหมือนกำลังเดินขึ้นเขาเลยนะ เหมือนเล่นเกมส์มากกว่า
ขึ้นมาถึงข้างบน เหนื่อยแสนเหนื่อย (จบทริปแล้ว รู้สึกว่าที่นี่เป็นเนินที่เตี้ยที่สุด) พอเห็นวิวปุ๊บ…หายเหนื่อยเลยค่ะ
วิวข้างบน เราจะเห็นตัวปราสาทไฮเดลเบิร์กอย่างชัดเจน รวมถึงโบสถ์ Heiliggeistkirche และ Old town แบบภาพรวมเลย สวยมากๆ
วิวนี้เป็นวิวแรกที่ประทับใจที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา (เพราะเพิ่งเคยมาค่ะ หลังจากวันนั้นก็ได้ขึ้นเขา เห็นวิวอีกหลายเมือง สวยจนต้องหยิกตัวเองว่า “นี่เราฝันไปหรือเปล่า”
เส้นทางนักปราชญ์
ที่เรียกว่า “Philosopher’s way” หรือ ภาษาเยอรมันเขียนว่า “Philosophenweg” เพราะเวลาคนเราจะเกิดจินตนาการ หรือความคิดใหม่ๆได้ ก็ต้องอาศัยสภาพแวดล้อม บรรยากาศที่เอื้ออำนวยใช่มั้ยคะ
ก็เลยมีนักปราชญ์ ศิลปิน ที่มีชื่อเสียงต่างๆ เคยมาเดินเส้นทางนี้ อาจจะได้รับแรงบันดาลใจต่างๆจากวิวที่สวยแบบนี้ ขนาดพวกหัวสมองทึบอย่างพวกเรา ยังเกิดแรงสั่นสะเทือนตรงหัวใจได้เลย แถมยังได้ไอเดียอะไรมากมาย มันมหัศจรรย์มากค่ะ
อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นคนสูงอายุ เดิน 3 ก้าว หยุด 10 วิ แล้วเดินต่ออีก 3 ก้าว แล้วก็หยุดอีก เขาก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นขึ้นมานะ มันไม่ใช่ง่ายๆนะ ขนาดเรางี้ยังหอบแฮ่กๆ แสดงว่าอายุเยอะแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปนอนโรงพยาบาลเสมอไปสินะ
Philosopher’s Garden
มาถึงข้างบนนี้ ก็ไม่ต้องหอบเสื่อมาปูนั่งนะคะ เขามีเก้าอี้เยอะมาก แถมยังมีสวนดอกไม้ให้นั่งชม (ฟรีด้วยอ่ะ) อิจฉาคนเมืองนี้จริงๆ
สรุปความประทับใจ Philosopher’s way
1. สำหรับมือใหม่หัดปีนอย่างแอดมิน ครั้งแรกถือว่าเหนื่อยแป๊บเดียวค่ะ ไต่ขึ้นมาประมาณ 20 นาที (แบบเดินๆ พักๆ)
2. ทางเดินเรียบ ไม่มีดิน คิดว่าผู้สูงอายุก็ขึ้นมาได้ค่ะ
3. เป็นสถานที่แนะนำอย่างแรงเลยค่ะ ถ้ามาไฮเดลเบิร์ก ต้องมาที่นี่ค่ะ ต่อให้เคยมาแล้วก็ยังต้องมาค่ะ
4. จริงๆมีที่ให้เดินสูงขึ้นไปอีก 2-3 เท่า คิดว่าถ้ามีโอกาสหน้า จะขึ้นไปแน่ๆค่ะ
5. วิวและสถานที่ให้คะแนนเต็ม 10/10 ค่ะ เพราะจัดได้ดีมาก
6 ถ้าจะหาข้อติให้ได้คงจะเรื่องแสงที่ไม่สามารถหามุมที่ส่องเข้าหน้าตัวปราสาทตรงๆได้ เพราะตัวปราสาทอยู่ทิศใต้ ต่อให้มาเช้าตะวันออก ก็ส่องเข้าข้างซ้าย หรือมาตอนเย็น ก็ส่องเข้าข้างขวา แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือ ไม่ว่าจะมาเวลาไหนก็ไม่ย้อนแสงค่ะ
นั่งรถราง “ชะโงกทัวร์”
พอลงจากเนิน Philosopher’s way แล้วเดินไปอีกไม่กี่เมตรก็จะเจอป้ายรถรางแล้วค่ะ แต่ที่นี่เส้นทางรถรางไม่เยอะค่ะ ไหนๆก็มีตั๋ววันแล้ว (9.2 ยูโร ต่อ 2 คน) และด้วยเวลาที่เหลือไม่มากนัก พวกเราจึงใช้วิธี “ชะโงกทัวร์” โดยนั่งรถรางชมเมืองกันค่ะ
แผนการ”ชะโงกทัวร์” เป็นดังรูปข้างต้นนะคะ
ถ้าใครไปแค่ปราสาทไฮเดลเบิร์ก ก็ไม่ต้องซื้อตั๋ววันนะ ตั๋วเที่ยวเดียว ไป-กลับ ก็พอแล้ว
แต่ถ้าใครจะไป Heidelberg University แล้วต้องขึ้นรถราง รถบัส อย่างน้อย 3 รอบ ก็ซื้อตั๋ววันดีกว่าค่ะ พวกเราตั้งใจจะไปเหมือนกัน แต่เวลาไม่พอแล้ว ก็เลยนั่งชมวิวบนรถแทนแล้วกัน น่าเสียดายจริงๆที่ไม่ได้ค้าง ใครมาเที่ยวที่นี่ก็อยากให้ค้างซักคืน จะได้ไม่ต้องรีบแบบเรานะ
พอได้เวลา 6 โมงเย็น ก็กลับไปที่จุดขึ้น Flixbus ที่เดิมที่เมื่อเช้าลงนั่นแหล่ะ เพื่อกลับแฟรงค์เฟิร์ทค่ะ
สรุปความประทับใจเมืองไฮเดลเบิร์ก
1. เมืองไฮเดลเบิร์ก เป็นเมืองในลิสต์ที่คิดว่าจะต้องกลับมาอีกแน่ๆ และเป็นเมืองที่น่าอยู่ (รอบนอกเมืองนะ) น่าลองอยู่ซักเดือน
2. แม้ว่าระหว่างอยู่บนรถรางจะมีนักศึกษาเอะอะโวยวาย อาจจะอารมณ์ค้างจากเชียร์บอล ทั้งเสียงนกหวีด เสียงโห่ร้อง กรี๊ด ร้องเพลง หรือประท้วงอะไรไม่รู้ (เมาด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะ) แต่ก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรค่ะ แค่สร้างความรำคาญเฉยๆ
3. ขณะที่อยู่บนรถรางไม่เคยเห็นนายตรวจซักครั้งเลยนะคะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องซื้อนะคะ จะได้เที่ยวอย่างสบายใจ
4. รถรางไฮเดลเบิร์ก เวลาขึ้น ขึ้นประตูไหนก็ได้ ลงประตูไหนก็ได้ มีตู้ซื้อตั๋วด้านในตัวรถด้วย ถ้าซื้อตั๋วเที่ยวเดียวก็ต้องตอกวันที่ ถ้าซื้อตั๋ววันแบบพวกเราก็ไม่ต้องตอกค่ะ (อยากตอกค่ะ แต่มันใบใหญ่ยัดไม่เข้า แหะๆ)
สรุปตั๋วที่ใช้เที่ยว Heidelberg
- Heidelberg Day-Ticket 9.2 euro (2 คน)
- Flixbus ไป-กลับจากแฟรงค์เฟิร์ท คนละ 12 ยูโร
- ค่าขึ้นปราสาทไฮเดลเบิร์ก+funicular คนละ 7 ยูโร
เที่ยวยุโรป SS1 D4 เที่ยว Wurzburg
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ