เที่ยวยุโรป Season1 Day28-30 เที่ยว Budapest
นี่คือ 3 วัน 2 คืนสุดท้ายที่ Budapest แม้ว่าจะมีความแตกต่างจากเยอรมัน และออสเตรีย มากพอสมควร แต่ก็คุ้มค่ากับการมาแน่ๆค่ะ ตึกสวย ราคาไม่แพง ที่เที่ยวเยอะ ดูแปลกตา คึกคัก
การเดินทางจาก Vienna ไป Budapest
– Flixbus 19 ยูโร 3 ชม.
ต่อเดียวถึง ไม่ต้องเปลี่ยนรถ
ไปจอดที่ Népliget ซึ่งอยู่ห่างตัวเมืองนิดนึง
ต้องต่อรถไฟใต้ดินไปยังโรงแรม (ราคานี้ต่อรถก็ยอมค่ะ)
– รถไฟ 40 ยูโร 3.30 ชม.
อาจต้องเปลี่ยนรถไฟ ถ้าตั๋วแพงกว่านี้อาจไม่ต้องเปลี่ยน
ไปจอดที่ Budapest Keleti ใกล้โรงแรม Elit hotel ของพวกเรา ซึ่งอยู่ในเมือง
ดูราคาแล้ว คิดยังไงนั่ง Flixbus ก็คุ้มกว่าเยอะมากๆค่ะ ง่าย นั่งสบาย ไม่ต้องห่วงกระเป๋าดังนั้นพวกเราจึงเลือก Flixbus ค่ะ จริงๆเลือกตั้งแต่ราคาแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องนำมาพิจารณาเลย
จากเวียนนา ไป บูดาเปสต์
เช้านี้พวกเรานั่ง Flixbus จาก Vienna Erdberg ใช้เวลา 3 ชม. ไปถึง Budapest
มาถึงสถานีรถบัสของบูดาเปสต์แล้ว ก็เดินเข้าตัวสถานีหาที่ขึ้นรถไฟกัน
เดินตามทางลูกศรมาเรื่อยๆ ก็เจอตู้ซื้อตั๋วรถไฟแล้วค่ะ เข้าไปด้านในจะมีเคาร์เตอร์ซื้อตั๋วด้วย แต่ไม่รู้ทำไมปิดหมดเลย แต่ก็มีคนยืนต่อคิวรอกันเยอะมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจจะไม่มีเงิน Koruna ของสโลวัคล่ะมั๊งคะ ก็เลยต้องใช้ยูโรซื้อ
แต่พวกเราแลกเงินมาจากเวียนนาเรียบร้อยแล้ว ก็ซื้อตั๋วที่ตู้ได้เลย
ทางเข้าสถานีจะมีคนยืนเฝ้าอยู่นะคะ แต่ไม่ได้ตรวจทุกคน ถ้าหน้าตาแปลกๆอย่างเราเขาก็จะขอดูตั๋ว แล้วถ้าใครซื้อแบบตั๋วเที่ยวเดียวก็ต้องปั๊มตั๋วก่อน แต่พวกเราซื้อตั๋ววัน ไม่ต้องปั๊มตั๋ว แต่อยากปั๊มมากก็เลยเอาไปเสียบดู แต่เอาเข้าไม่ได้ค่ะ เพราะตั๋วใหญ่กว่าช่อง
ช่องใส่เงินเป็นสีแดง แสดงว่าใส่แบงค์ไม่ได้ ต้องใช้บัตรเครดิต หรือเดบิตเท่านั้น พวกเราไม่รู้ก็ยัดแบงค์เข้าไป มันไม่ดูดเข้าไปซักที
ก็เลยเปลี่ยนตู้ เป็นไฟสีเขียวแล้วนะ แต่ใส่เงินไปปุ๊บมันคายออกมา ใส่ 3 รอบ คายออกมาทั้ง 3 รอบ ใจหายวูบเลยโดนแบงค์ปลอมรึป่าวหว่า ก็เลยเปลี่ยนแบงค์มันก็ไม่คายออกมาแล้ว
และหลังจากนั้น แบงค์นั้นก็เอาไปซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ เพราะเขาบอกว่าเป็นแบงค์เก่า ต้องเอาไปแลกที่ไปรษณีย์ หรือธนาคาร อะไรว้าา…ที่แลกเงินที่เวียนนามันทำเราซะแล้ว
เที่ยวมาจนถึงวันสุดท้ายก็ยังหาธนาคารที่มีคนไม่ได้ ไปรษณีย์อยู่ไหนก็ไม่รู้ ติดวันเสาร์อาทิตย์อีก ซวยแล้วแบงค์พันซะด้วย เอาไปแลกที่เคาร์เตอร์แลกเงินเขาก็ไม่รับ สุดท้ายก็เลยคิดชั่วแอบสอดใส้ตอนซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต และแล้วมันก็สำเร็จ เขารับด้วยล่ะ โล่งอกซักที
การเดินทางใน Budapest
- Single ticket 350 HUF
- 24 hour travelcard 1650 HUF (1 คน)
- 24 hour travelcard 3300 HUF (2-5 คน)
- 72 hour travelcard 4150 HUF (1 คน)
(ไม่มี 48 hour นะคะ)
พวกเราเลือกซื้อ 72 hour travelcard 4150 HUF
เพราะ…
– อยู่บูดาเปสต์ 3 วันพอดี
– ใช้นั่งรถบัส รถราง รถไฟ ได้ทั่วเมือง ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวได้หมด
– ชอบนั่งรถเล่น เผื่อเหลือ เผื่อขาด สบายใจดี ประหยัดแรงขา ประหยัดเวลา
– ที่สำคัญที่สุดคือ ใช้ขึ้นบัสไปสนามบินได้ด้วย
เที่ยวบูดาเปสต์ ไม่ซื้อตั๋ววันได้มั้ย เดินเอาอย่างเดียวได้มั้ย
ได้ค่ะ แต่เดินเยอะหน่อยนะ ต้องขึ้นเขาด้วย แต่ถ้าอืดก็เป็นไปได้อยู่ หรือไม่ ถ้าไกลหน่อย ก็ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวก็ได้ น่าจะคุ้มกว่าค่ะ (สำหรับคนไม่โลภมาก เที่ยวไม่เยอะที่)
แต่ถ้าใครชอบนั่งรถเล่น หรือเผื่อเหลือเผื่อขาด และต้องไปหรือกลับสนามบินอยู่แล้ว ก็น่าจะคุ้มที่จะซื้อตั๋ววันค่ะ ตั๋ววันที่นี่ราคาไม่แพง คุ้มค่ะ นั่งรถเล่นก็คุ้มแล้ว
แต่ถ้าถามว่าจำเป็นมั้ย ก็ไม่ถึงกับจำเป็นค่ะ ขึ้นอยู่กับกำลังขา และสถานที่ที่จะไป
นั่งรถไฟไปโรงแรมกันก่อน
จุดที่ Flixbus จอดคือสถานี Nepliget แต่โรงแรมของพวกเราอยู่สถานี Keleti Palyaudvar ฝากกระเป๋าเรียบร้อยก็รีบออกเดินทางต่อทันทีค่ะ
สถานที่เที่ยว Budapest
ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วเนอะว่าชื่อบูดาเปสต์มาจากชื่อเมืองสองเมืองรวมกันคือบูดา(ฝั่งตะวันตก) และเปสต์(ฝั่งตะวันออก) ถ้างั้นจะขอพูดถึงสถานที่สำคัญในฝั่งเปสต์ก่อนแล้วกันนะคะ
1. Parliament Building
เป็นรัฐสภาที่ทำการของรัฐบาล ด้านในมีพิพิธภัณฑ์ ตึกที่มีศิลปะหลายยุครวมกันทั้ง โกธิคใหม่ เรเนอซองส์ บาโรค สร้างขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน ประมาณ ปี 1880 สร้างเสร็จเมื่อปี 1902 ซึ่งเป็นรัฐสภาที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเลยทีเดียว
ใกล้ๆยังมีพิพิธภัณฑ์รำลึกถึงสงครามกลางเมือง และช่วงปฏิวัติที่บริเวณนึ้เป็นศูนย์กลาง มีคนมากมายต้องล้มตาย มีวิดีโอฉาย ส่วนนี้เข้าชมฟรีนะคะ อยู่ใต้ดิน
วันนั้นคิดว่าน่าจะเป็นวันรำลึกอะไรซักอย่าง มีพิธีอะไรไม่รู้ ไปถึงตอนจบพอดี แล้วเขาก็บอกว่าให้เข้ามาถ่ายรูปกับทหารได้ แต่พอเขาพูดจบ ไม่มีใครเข้าไปซักคน แต่เราได้ยินนะ ก็เลยทำเป็นเดินเข้าไป แล้วก็วสลับกันถ่ายรูป ก็เลยมีคนกรูกันเข้ามาถ่ายบ้าง ดีนะที่คิดได้ก่อน ไม่งั้นก็ต้องรอคิวอีกนานแน่ๆ ทหารมี 4 นาย แต่นักท่องเที่ยวมากกว่า 80 คน
วิวอาคารรัฐสภาเป็นจุดที่พวกเรายกให้เป็นแลนด์มาร์คที่สวยที่สุดในบูดาเปสต์เลยค่ะ ทั้งกลางวัน และกลางคืน
2. Vajdahunyad Castle
ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นมาเมื่อปี 1896 เนื่องในโอกาสฉลองครอบรอบ 1000 ปี ของฮังการี ตั้งแต่เริ่มเข้ามาตั้งรกรากที่นี่
คำว่า Vajdahunyad เป็นชื่อโบราณ มาจากคำว่า Vajda และ Hunyadvar
(คำนี้เป็นชื่อเมืองนึงที่อยู่ในอาณาจักร Austria-Hungary ซึ่งปัจจุบันก็คือประเทศโรมาเนีย)
จริงๆตอนแรกคำว่า Vajdahunjad ไม่ได้หมายถึงตัวปราสาททั้งหมดนะ
แต่ชาวบ้านชอบเรียกรวมๆ ก็เลยกลายเป็นชื่อเรียกรวมๆไปเลย
จุดประสงค์ที่สร้างปราสาทนี้ขึ้นมาก็เพื่อ โชว์ประวัติอันยิ่งใหญ่ของเผ่า Magyars ผ่านสิ่งก่อสร้าง ศิลปะการตกแต่งต่างๆ
โครงสร้างของปราสาทดั้งเดิม ทำจากไม้กระดาน และกระดาษแข็ง แต่ชาวฮังการีชอบปราสาทนี้มาก ก็เลยอยากให้สร้างแบบถาวรไปเลย สไตล์การตกแต่ง เป็นการปนกันระหว่าง Romanesque + Gothic + Renaissance +Baroque (ครบเลย)
ด้วยสไตล์ของตัวปราสาท ที่ทั้งภายนอก และภายใน ดูอึมครึม ให้อารมณ์คิดไปถึงบ้านผีสิงมากๆ
(ถ้ามาตอนกลางคืนนะใช่เลย ตรงบริเวณสวนนอกตัวปราสาทเขาเปิดตลอด 24ชม. สนใจก็มากันได้นะ)
ถึงกับลือเล่ากันเล่นๆว่า ปราสาทแห่งนี้ เป็นปราสาทของท่าน Count Dracula
(ก็หนังเรื่องแดรกคูล่า เริ่มฉายประมาณปี 1897 แต่ปราสาทนี้สร้างเสร็จตอนปี 1896 จะไม่ให้อินได้ไง)
ถ้าเสิร์ชคำว่า Hunedoara (คำนี้เป็นภาษาฮังกาเรียนซึ่งเป็นคำเดียวกับ Hunyadvar) จะพบว่ามันเป็นเมืองที่อยู่ในรัฐ Transylvania ประเทศโรมาเนีย ที่เป็นต้นกำเนิดของแวมไพร์
ค่าเข้าสถานที่
ทางเข้าเขตปราสาทจะมีประตู ทาวเวอร์ และอาคารด้านหน้า โดยภายในมีจุดเสียเงิน เอ้ย…จุดเข้าชมหลายจุดคือ
– Gatehouse Tower 300 HUF
– Apostles’ Tower 600 HUF
– Gatehouse Tower + Apostles’ Tower 700 HUF
– Museum 1200 HUF
– Gatehouse Tower + Apostles’ Tower + Museum 1700 HUF
– Jáki kápolna โบสถ์ที่อยู่ในเขตปราสาท จำไม่ได้ แต่ไม่กี่ตังค์หรอกค่ะ
– Agriculture museum 1200 HUF จะอยู่ในตัวปราสาท
สถานที่เด่นๆรอบๆ Vajdahunyad Castle
Széchenyi Thermal Bath
ตอนแรกนึกว่าเป็นปราสาทอะไร ที่แท้เป็นโรงอาบน้ำ ซึ่งบูดาเปสตด์โดดเด่นมากเรื่องสปา สระน้ำร้อน ด้านในก็เป็นเหมือนสระว่ายน้ำเพียงแต่มันร้อนเท่านั้นเอง คนลงไปอาบก็ใส่ชุดว่ายน้ำไปแช่กัน ไม่ได้เปลือยหมดเหมือนที่ญี่ปุ่นหรอกค่ะ
City Park Ice Rink (Városligeti Műjégpálya)
อันนี้ก็นึกกว่าเป็นวังหรือพิพิธภัณฑ์อะไร ที่แท้เป็นลานสเก็ตน้ำแข็งนี่เอง ที่นี่อยู่ฝั่งตรงข้าม Vajdahunyad castle เลยค่ะ
Heroe’s Square
สร้างขึ้นเมื่อปี 1890 เนื่องในโอกาสครบรอบ 1000 ปีของประเทศอังการี อนุสาวรีย์พันปี (Millennium Monument) ที่ตั้งอยู่ตรงกลางลานกว้าง สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชนเผ่าแมกยา(Magyars)
ถ้าดูจากรูปจะเห็น Millennium Monument เป็นเสายาวๆตรงกลาง ข้างบนสุดเป็นรูปปั้นของเทพแกเบรียล ถือมงกุฏ และไม้กางเขน ที่ฐานของอนุสาวรีย์เป็นรูปปั้นหัวหน้าชนเผ่าแมกยาทั้ง 7 กลุ่มบนหลังม้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งสร้างชาติขึ้นมา ส่วนรูปปั้นด้านหลังเป็นบุคคลสำคัญและกษัตริย์ในอดีต
พื้นที่บริเวณนั้นกว้างขวางมากๆ สามารถจุคนได้มากกว่า 2.5 แสนคน เป็นภาพที่สวย สง่า และเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องไปถ่ายรูปเก็บไว้ว่าได้มาถึงบูดาเปสต์แล้ว
3. Central Market
ที่นี่มีของขายเยอะมากๆค่ะ มีทั้งหมด 3 ชั้น (รวมชั้นใต้ดิน ซึ่งจะเป็นซุปเปอร์มาร็เก็ต)
ส่วนชั้น 1 เป็นร้านขายของสด เนื้อสัตว์ ผัก ขนมปัง เค้ก ของแห้ง ผักดอง ชั้น 2 เป็นร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้า และร้านอาหาร คล้ายฟู้ดคอร์ท
พวกเรามาที่นี่หวังว่าจะได้กินอาหารแบบท้องถิ่น ราคาไม่แพง นึกว่าขายคนท้องถิ่น ที่ไหนได้ ฟู้ดคอร์ทนี่ราคาเอาเรื่องนะคะ (ราคาอาหารประมาณ 1000 – 3000 HUF) เราซื้อน่องไก่ขาเดียว 200 บาท …ไม่อร่อยเลย
และข้อเสียอีกอย่างนึงก็คือ ไม่ค่อยมีที่นั่งค่ะ โต๊ะก็เล็กๆ เหมือนให้ยืนกิน กินไม่เป็นสุขค่ะ เพราะจะมีคนยืนจ้อง กดดันเราอยู่ ที่สำคัญ คนเยอะมากๆ (นักท่องเที่ยวท้างน้านน) แต่ถ้าใครชอบความคึกคัก กระเป๋าหนัก ลุยได้เลยนะคะ สนุกดี
ส่วนชั้น1 จะมีร้านเบเกอรี่แค่ 2-3 ร้านเอง ซึ่งผิดคาดค่ะ ทำไมร้านเบเกอรี่น้อย แต่ไม่แพงค่ะ ซื้อได้สบายใจ หรือถ้าจะซื้อของถูก ก็ลงใต้ดินเลยค่ะ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่เท่ห์ แต่อิ่มท้องนะ
ที่นี่จะมีจุดแลกเงิน เป็นป้อมเล็กๆข้างประตู ให้เรทดีค่ะ แลกปุ๊บจับจ่ายปั๊บคล่องตัวเลย อ้อ…ที่สำคัญอย่าลืมดูเวลาปิดด้านล่างด้วยนะคะ เดี๋ยวไปเสียเที่ยวนะ
เวลาเปิด
จันทร์ 6.00 น. – 17.00 น.
อังคาร – ศุกร์ 6.00 น. – 18.00 น.
เสาร์ 6.00 น. – 15.00 น.
อาทิตย์ ปิด
4. St. Stephen’s Basilica
เป็นโบสถ์ที่ตั้งตามชื่อกษัตร์ย์องค์แรกของฮังการี สร้างเสร็จเมื่อปี 1905 ปัจจุบันเป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่3 ของฮังการี
ส่วนต่อไปจะพูดถึงสถานที่เที่ยวในฝั่งบูดากันบ้างนะคะ
การเดินทางมาฝั่งบูดาแถบ Fisherman’s Bastion , Buda Castle สามารถเดินขึ้นมาก็ได้ถ้าคิดว่าตัวเองแข็งแรงพอ มันก็น่าสนุกดีนะคะ แต่บังเอิญว่าพวกเรามีตั๋ววันอยู่แล้วจะเดินทำไมให้เสียแรง พวกเราเลือกขึ้นบัสสาย 16 มาจอดหน้า Fisherman’s Bastion กัับ โบสถ์ Matthias เลยค่ะ
อีกวิธีนึงก็คือขึ้น Funicular มีค่าขึ้นนิดหน่อย ใช้ตั๋ววันไม่ได้นะคะ แต่ก็เร็วและง่ายดีค่ะ
5. Fisherman’s Bastion (Halászbástya)
เป็นป้อมที่มีระเบียงสไตล์ Neo-Gothic และ Neo-Romanesque สีขาว มีหอคอยอยู่ทั้งหมด 7 หอคอย ซึ่งเป็นตัวแทนของเผ่า Magya 7 เผ่า ที่ได้มาตั้งรกรากอยู่ที่ลุ่มน้ำ Carpathian ในปี 896
แล้วที่เรียกว่า Fisherman ก็เพราะว่าสมัยก่อน คนที่มาคุมป้อมคอยสอดส่องดูแล ก็คือชาวประมง เป็นป้อมทางเดินยาว
จุดนี้จะมีทั้งจุดชมวิวฟรี (เห็นน้อยกว่า…แต่ก็เห็น) หรือขึ้นไปบนคาเฟ่ข้างบนก็พอเห็นอยู่ค่ะ แต่ควรมีมารยาทกับลูกค้าคาเฟ่ด้วยนะ ถ่ายรูปห่างๆเขาหน่อย
และจุดเสียเงิน คือขึ้นไปเดินบนดาดฟ้า สูงจากชั้นล่างประมาณ 2-3 เมตร (น่าจะเห็นมากกว่า)
ค่าขึ้น 800 HUF
6. Matthias Church
เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก ของดั้งเดิมสร้างในสไตล์โรมาเนสตั้งแต่ปี 1015 แต่ที่เห็นในปัจจุบันเป็นสไตล์โกธิค ที่ปรับปรุงขึ้นในศตวรรษที่14 และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในศตวรรษที่19
โบสถ์นี้มีความใหญ่เป็นอันดับสองของ Medieval Buda และเป็นอันดับ 7 ของ Medieval Hungarian Kingdom โบสถ์นี้สูง แหลม หลังคาลายแปลกๆ คล้ายผ้าถุงบ้านเรา แต่สวยค่ะ
สังเกตุว่าปกติโบสถ์จะมีคำว่า “เซนต์” แล้วก็ตามด้วยชื่อใช่มั้ยคะ แต่โบสถ์นี้ตั้งตามชื่อของกษัตริย์องค์แรกของฮังการี ซึี่งไม่ใช่นักบวช ก็เลยเป็นชื่อ โบสถ์แมธิอัส เฉยๆ ไม่ใช่โบสถ์เซนต์แมธิอัสนะคะ
ค่าเข้าชมโบสถ์ 1500 HUF ค่าขึ้นหอคอย Bell Tower 1500 HUF
7. The Labyrinth of Buda Castle
เป็นถ้ำใต้ดินที่อยู่ข้างใต้ตัวปราสาท ลึกลงไปหลายชั้นมาก ขนาดถ้ำมีความยาวถึง 1200 เมตร ถ้ำนี้เกิดจากธรรมชาติ เป็นทางน้ำพุร้อน ไหลตั้งแต่ยุคโบราณมากๆแล้ว ในเวปเขาว่า น่าจะกว่าครึ่งล้านปีก่อน (ไม่รู้แปลผิดป่าว แต่มันมีมานานมากๆๆๆๆจริงๆ)
ถ้ำนี้เป็นเขาวงกต จะมีทางเชื่อมถึงกันหลายจุดมาก เคยเป็นทั้งสถานที่หลบภัย เก็บอาวุธ วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ และการทหาร เชื่อหรือไม่ว่าถ้ำนี้เคยจุคนมากว่า 10,000 คนมาแล้วในช่วงสงคราม แม้ว่าด้านในจะมีรูปร่างแปลกๆก็ตาม
ค่าเข้า 2500 HUF ซื้อบัตรเข้ากลางวัน แล้วถ้าอยากเข้ากลางคืนด้วย ก็มาเข้าฟรีได้เลย กลางวันก็รู้สึกน่ากลัวแล้วนะ เห็นเด็กเดินเข้าปากทางก็ร้องไห้ อยากออกแล้วค่ะ
8. Buda Castle
จาก Fisherman’s Bastion สามารถเดินลงมาที่ Buda Castle ได้นะคะ หรือจากด้านล่างขึ้นมาบนเนินของ Buda Castle ก็สามารถขึ้น Funicular หรือจะเดินขึ้นมาก็ได้ แต่พวกเราขึ้นบัสค่ะ ไม่ไกล แต่มีตั๋ววันนี่คะ
Buda Castle ของจริงๆดั้งเดิม กลายเป็นซาก ไม่เหลืออะไรมากแล้วค่ะ ที่เห็นอยู่นี่คือสร้างใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนั้น
บริเวณนี้จะมีพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งที่น่าสนใจก็คือ
Hungarian National Gallery 1800 Ft
Budapest History Museum 2000 Ft
ที่นี่เป็นปราสาทที่สร้างคร่อมทับซากเก่า คือข้างในจะแสดงซากที่ยังหลงเหลืออยู่ ประวัติ และสิ่งของ อื่นๆอีกเยอะมากๆ แต่มีส่วนของโบสถ์ที่ไม่ถูกทำลาย (ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ)
มี 4 ชั้น ข้อมูลเยอะมากๆ คุ้มค่าเข้า ถ้าคนสนใจประวัติศาสตร์จะชอบมากค่ะ แต่ถ้าใครไม่สนใจประวัติศาสตร์ ก็เดินผ่านๆได้นะ มันเยอะจริงๆ
บริเวณนี้มีที่พักผ่อน วิวก็สวย สิ่งก่อสร้างก็อารมณ์ยุคกลาง สวยมากๆค่ะ จากนั้นพวกเราก็เดินลงเนิน ขึ้นรถรางไปอีก ป้ายนึง เพื่อไปขึ้นเขาต่ออีกลูก ซึ่งจะมีป้อมปราการที่เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของบูดาเปสต์อีกที่นึงค่ะคือ Citadella
9. Citadella
เป็นป้อมปราการเก่า สร้างขึ้นตั้งแต่ปี1851 สร้างโดยผู้บัญชาการทัพของฮับส์บูร์ก มีรูปทรงแบบครึ่งวงกลม ยาว220ม. กว้าง60ม. สูง4ม. และติดตั้งปืนใหญ่ถึง 60 อัน
ที่นี่มีจุดชมวิวที่สูงมากๆ ถ้าชอบถ่ายรูป ดูวิวสูง ก็อย่าพลาดค่ะ การเดินทางไป Citadella สามารถเดินขึ้นเนิน(สูงมาก…แต่ถ้าชอบปีน ก็สนุกดี) หรือนั่งรถบัสไปก็ได้ค่ะ หรือขาขึ้นก็ขึ้นบัส ขาลงก็เดินลงก็ได้
ชอบเดิน —> ลงรถรางที่ Várkert Bazár เลี้ยวขวา ข้าง Gellert Thermo Bath ทางขึ้นมีหลายทาง มีจุดชมวิวหลายจุดมากๆค่ะ จะมีคนเดิน คนนั่ง คนวิ่ง เหมือนสวนสาธารณะเลยค่ะ
นั่งบัส —> ขึ้นบัสสาย 27(ได้สายเดียว) จากป้าย Móricz Zsigmond körtér M ลงป้าย Búsuló Juhász(Citadella) จากนั้นก็ต้องเดินต่อไปอีกซักระยะนึง เดินแนวราบ ก็ไม่เหนื่อยมากค่ะ
10. Gellert Hill
เป็นเนินเขาที่สูง 235 เมตร ชื่อนี้เกิดหลังจากที่ Sant Gerard ถูกโยนลงมาจากเนินนี้ ลงสู่แม่น้ำดานูป
Sant Gerard เดิมทีเป็นชาวเวนิส แต่ได้มาเป็น Bishop of Csanád in the Kingdom of Hungary พอช่วงปี 1046 เกิดจราจลต่อต้านศาสนาคริสต์ Gerard ก็เลยถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน และถูกทิ่มแทงด้วยหอก ส่วนร่างไร้วิญญาณ ก็ถูกโยนลงแม่น้ำดานูบ
บนเขาเกลเลิร์ตจะมีสถานที่สำคัญที่น่าไปเช่น Citadella , Gellért Hill Cave , Szent Gellért Monument , Gellert Thermal Bath
Gellert Thermo Bath เป็นสปา สระว่ายน้ำ น้ำแร่ ซึ่งมีหลายสระ อุณหภูมิตั้งแต่ 21-78oC (แปลไม่ผิดค่ะ)
บูดาเปสต์เป็นเมืองที่ได้รับรางวัล City Spa มาตั้งแต่ปี 1934 มาแล้ว ข้างในคล้ายๆสระว่ายน้ำ ไม่เหมือนออนเซ็นของญี่ปุ่นเลย ที่ดูธรรมชาติ เป็นหินๆ มีต้นไม้ เหมือนจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ มากกว่าจะมาเรื่องสุขภาพนะคล้ายๆเราไปเที่ยวทะเลน่ะค่ะ เพราะประเทศเขาไม่ติดทะเล ไม่มีทะเลสวยๆแบบบ้านเรา
นั่งเรือชมวิวสองข้างทาง
จริงๆมีเรือที่ล่องแม่น้ำแบบแพงด้วยนะ แต่ที่จะพูดถึงนี้เป็นเรือด่วนบูดาเปสต์ที่เป็นการขนส่งสาธารณะอย่างหนึ่ง เหมือนรถบัส รถไฟนั่นเองค่ะ จะซิกแซกจอดตามป้ายสองฝั่งแม่น้ำ
ดังนั้นถ้าจะซื้อตั๋วขึ้นเรือ ก็คือ Single ticket 350 Ft เท่ากับขึ้นรถไฟ รถบัสเลยค่ะ หรือถ้ามีตั๋ววัน ก็ใช้ขึ้นเรือด่วนนี้ได้เหมือนกัน แต่ใช้ได้เฉพาะวันธรรมดาเท่านั้นค่ะ
เรือที่บูดาเปสต์ เป็นสองชั้น ขึ้นไปนั่งชั้นบน รับลม ดูวิวได้เต็มที่ สวยมากๆ อยากแนะนำจริงๆค่ะ
นั่งสาย11 หรือ 12 ก็ได้ นั่งไปกลับกี่รอบก็ได้ค่ะ อย่าพลาดเด็ดขาด วิวที่มองจากบนเรือมันสวยมาก
การเดินชมเมืองริมแม่น้ำในตอนกลางคืนก็เป็นอีกกิจกรรมนึงที่ไม่อยากให้พลาดค่ะ เพราะที่นี่คึกคัก เปิดไฟสวยมาก ไม่เหมือนที่เยอรมนี กับออสเตรีย ที่ดูจะเข้าบ้านกันเร็วนะ เงียบเหงา ร้างๆยังไงไม่รู้
สถานที่เที่ยวในบูดาเปสต์ยังมีอีกเยอะเลยนะคะ รวมถึงเมืองใกล้ๆบูดาเปสต์ด้วย และที่พวกเราพลาดมากๆก็คือเมือง Szentendre ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก สวยงามมากๆ น่าจะใช้ตั๋ววันได้ด้วย เสียดายสุดๆ
วิธีเดินทางไป สนามบินบูดาเปสต์ (หรือจากสนามบินเข้าเมือง)
City <—(Metro : M3 ~20 min)—> Kőbánya-Kispest st. <—(Bus 200E ~25 min)—> Airport
นี่คือหนทางเดียวที่ถูกที่สุด แล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก จุดต่อรถก็เดินนิดเดียว หาไม่ยาก คนส่วนใหญ่ก็ไปกันทางนี้แหล่ะค่ะ ไม่ต้องไปใช้ shuttle bus หรือ taxi หรอกค่ะ แพงมาก
ถ้ามาถึงสถานี Kőbánya-Kispest ได้แล้ว ก็หารถบัสไม่ยากแล้วค่ะ เดินตามป้ายไป มีรถออกเรื่อยๆทุกๆ 5-10 นาที
สนามบินบูดาเปสต์ไม่ใหญ่ ขาออกขึ้นชั้น 2 รับรองว่าหาง่ายแป๊บเดียวไม่ยากค่ะ
ค่าเดินทางในบูดาเปสต์
พวกตั๋ววัน 24 ชม. และ 72 ชม. สามารถใช้ขึ้นบัส 200E ไปสนามบินได้นะคะ
หรือจะซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆก็ได้ แต่ต้องซื้อชนิด Transfer ticket (Bus+M3) มันจะเป็นตั๋วสองอันติดกัน เวลาจะใช้ ก็ต้องสแตมป์อันนึง แล้วก็ฉีกต่อหน้าคนขับ (แล้วถ้าเป็นรถไฟล่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะ) พอตั๋วที่สองก็ปั๊มอีก แล้วก็ขึ้นได้อีกเที่ยวนึง ภายใน 80 นาที (ขึ้นได้เที่ยวเดียวนะ)
ราคา
Transfer ticket 530 Ft
single ticket 350 Ft
ตั๋ววัน 24 hr 1650 Ft (ต่อคน)
ตั๋ววัน 24 hr 3300 Ft (สำหรับเดินทาง 1-5 คน)
ตั๋ววัน 72 hr 4150 Ft (ต่อคน)
จะคุ้มหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราขึ้นรถไฟวันนึงกี่ครั้ง ถ้าเดินทาง 3-4 เที่ยวขึ้นไป ถือว่าคุ้มค่ะ ถ้าซื้อใช้เข้าเมืองอย่างเดียว ไม่คุ้มนะ ซื้อแบบ transfer ticket ดีกว่า
หมายเหตุ : ข้อมูลปี 2016
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ