เที่ยวยุโรป Season1 Day19-20 เที่ยว Salzburg
เมื่อวานเย็นพวกเราเพิ่งมาถึง Salzburg ยังไม่ได้เที่ยวอะไรเลยนะคะ แต่สองวันต่อจากนี้พวกเราจะเที่ยว Salzburg กัน เต็มๆเลยนะคะ
วันแรกจะไป Open-air museum แล้วกลับมาเดินในเมือง ส่วนวันที่สองไป Untersberg กับ Schloss Hellbrunn แล้วกลับมาเดินในเมืองต่อ รวมค้าง Salzburg 3 คืนค่ะ

จาก Berchtesgaden ไป Salzburg
เมื่อวานเย็น พวกเรานั่งบัสสาย 840 จาก Berchtesgaden มาลงที่ Salzburg Mirabel platz ราคาคนละ 5.7 ยูโร ซื้อกับคนขับได้เลยค่ะ
ถ้าใครมี Guest card จากที่พักที่ Berchtesgaden ก็สามารถใช้นั่งบัสสาย 840 นี้มา Salzburg ได้ฟรีด้วยนะคะ แต่การ์ดนี้ต้องคืนที่พักด้วย แปลว่าต้องเป็นการไปกลับค่ะ และการ์ดนี้ไม่สามารถใช้กับการขนส่งในซาลซ์เบิร์กได้นะ ได้แต่ไปกลับเท่านั้น

การเดินทางใน Salzburg
– ส่วนใหญ่จะเป็นบัสค่ะ ที่นี่ไม่มีรถรางนะคะ
– ที่ Salzburg จะมีบัสชนิด Trolleybus ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยนะ
Trolleybus มันก็คือบัสนั่นเอง แต่มันจะมีเสาอากาศที่ต่อกับสายไฟข้างบน เหมือนรถรางเลยค่ะ แค่ไม่มีรางแค่นั้นเอง
คือมันไม่ต้องมีรางให้เกะกะ แต่ก็สามารถใช้ไฟฟ้าเหมือนรถรางได้ ทำให้ไม่มีมลพิษ ไม่ต้องใช้น้ำมัน ไม่มีควัน เสียงก็เบามากๆ
แต่ไอ้เสานี่มันอาจมีตกสายบ้างนะคะ แต่คนขับรถก็แค่เดินออกมา แล้วหยิบอาวุธใต้รถขึ้นมา เพื่อ…เขี่ยให้มันตรงสาย เห็นแล้วรู้สึกเหมือนสอยมะม่วง 555+
ยี่ห้อบัสใน Salzburg
– ไม่ได้ต้องไปจำหรอกค่ะว่ามันยี่ห้ออะไร แค่บอกเฉยๆค่ะ เพราะเห็นบ่อยๆ ก็จำได้ ว่าแต่รถเมล์บ้านเมืองเค้าส๊วยสวย
– Salzburg จะมียี่ห้อบัสที่ไปแล้วจะติดหูอยู่ 3 ยี่ห้อ เช่น Obus, Albus, Postbus
Obus เป็นของเอกชน มีเฉพาะ Salzburg จะเป็นบัสวิ่งระยะใกล้ๆในเมือง คือสาย 1-14
Albus เป็นของเอกชน มีเฉพาะ Salzburg จะเป็นบัสวิ่งระยะไกล คือสาย 20-28, 34, 35, 151
Postbus เป็นของการรถไฟ มีทั่ว Austria หรืออาจวิ่งไปประเทศข้างเคียงด้วย จะเป็นบัสวิ่งไกลมากๆ คือสาย 130, 131, 140, 170, 180
รถบัสทั้งหมดที่ว่ามาข้างต้น สามารถใช้ Salzburg card ได้ทั้งหมดนะคะ

สายบัสที่ใช้ไปที่ไกลๆ
– สาย 180 ไป “Frilichmuseum” (Open-air museum)
– สาย 25 ไป Hellbrunn palace , Untersberg , Salzburg zoo
ราคาบัสภายในเมือง Salzburg (2016)
– Single ticket ซื้อจากคนขับ 2.6 euro ซื้อจาก customer care, ร้านบุหรี่ 1.8 euro
ถ้าออกนอกเขตเมือง ก็จะเพิ่มราคาโซนละ 1.1 ยูโร (อันนี้ไม่ต้องรู้ละเอียดก็ได้ค่ะ ราคามันไม่ได้เยอะ)
– Day ticket ซื้อจากคนขับ 5.7 euro ซื้อที่ตู้ 3.7 euro
การซื้อตั๋วล่วงหน้า
– การซื้อล่วงหน้าที่ไม่ใช่ซื้อจากคนชับ เรื่องนี้มันมีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซื้อ และเงื่อนไขว่าอะไรซื้อที่ตู้ได้ อะไรซื้อที่ตู้ไม่ได้ ต้องเข้าไปดูในเวปเอาเองนะคะ https://salzburg-verkehr.at/ เลือกเมนูชื่อ Ticket
– หรือจะดาวน์โหลดแผนที่ ก็เลือกเมนู timetables > Network & Local Area Maps
– รวมถึงวิธีเดินทางไปแต่ละที่ ต้องนั่งรถสายอะไร ก็แค่ใส่ต้นสาย ไปทาง หรือถ้าไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร ก็จิ้มสถานที่ไปที่ Map ได้เลยค่ะ
– สำหรับแอดมินคิดว่า เอาที่สะดวกที่สุดก็คือซื้อจากคนขับนั่นแหละ ไม่ต้องไปเดินหาตู้ หาที่ซื้อให้เสียเวลา ยกเว้นว่าเราผ่านอยู่แล้ว เพราะที่ป้ายรถเมล์มันไม่ได้มีตู้ขายตั๋วนะคะ
ราคา Salzburg card (2016)
1 ม.ค. – 30 เม.ย. และ 1 พ.ย. – 31 ธ.ค.
24 ชั่วโมง ราคา 24 ยูโร
48 ชั่วโมง ราคา 32 ยูโร
72 ชั่วโมง ราคา 37 ยูโร
1 พ.ค. – 31 ต.ค.
24 ชั่วโมง ราคา 27 ยูโร
48 ชั่วโมง ราคา 36 ยูโร
72 ชั่วโมง ราคา 42 ยูโร

เที่ยว Salzburg ด้วย Salzburg card ดียังไง
– เป็นบัตรที่ใช้ทั้งเข้าสถานที่และรวมถึงการเดินทางในบัตรเดียว ยุติธรรมดีมากเลยค่ะบัตรนี้ เพราะเขาคิดเวลาเป็นชั่วโมงค่ะ
– การเปิดบัตรไม่ได้ต้องไปปั๊มอะไรค่ะ แต่การเริ่มใช้ครั้งแรกคือการไปเข้าสถานที่พวกพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เขาก็จะยิงบาร์โค้ด ให้รู้ว่าเราใช้เข้าที่นี่ไปแล้ว แต่ที่สงสัยคือเวลาขึ้นบัสนี่สิคะ เขาก็แค่ดูบัตรเฉยๆ วันที่อะไรก็ไม่ได้มีเขียน (นี่ไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกนะคะ แต่มันแปลกจริงๆ โลกของเมืองที่พัฒนาแล้วเนี่ยะ)
Salzburg card ใช้ขึ้นรถสายอะไรได้บ้าง
ใช้กับบัสเกือบทุกยี่ห้อได้เลยนะคะ คือ
– Obus สาย 1-14
– Albus สาย 20-28, 34, 35, 151
– Postbus สาย 130, 131, 140, 170, 180
Salzburg card ใช้เข้าสถานที่ใดได้บ้าง
สถานที่ที่เข้าได้ฟรีสำหรับผู้ถือบัตร Salzburg card ก็ดูได้จากลิงค์นี้นะคะ http://www.salzburg.info/en/sights/salzburg_card/salzburg_card_free_admission
พวกเราใช้แบบ 48 hour นะคะ เพราะจะอยู่เที่ยวกัน 2 วันเต็ม
โชคดีที่ตอนนั้น(28 เมษายน) ราคายังไม่ขึ้น ก็เลยได้ราคาเก่า 48 ชั่วโมง 32 ยูโรไป เพราะอีกไม่กี่วัน(1 พฤษภาคม) ก็ขึ้นเป็น 36 ยูโรแล้ว
แผนที่สถานที่เที่ยว ที่ใช้ Salzburg card เข้าได้
ใช้ Salzburg card เข้าฟรีได้ที่ละ 1 ครั้ง
หมุดสีแดงคือ ที่ที่ได้เข้า
หมุดสีฟ้าคือ ที่ที่อยากเข้าแต่ไม่ได้เข้า
หมุดสีเทาคือ ที่ที่ไม่ได้เข้า และไม่ได้อยากเข้า
สถานที่เที่ยวที่ใช้ Salzburg card เข้าฟรี
ที่เขียนดอกจัน(***) หมายถึง เป็นที่เด่นๆ ที่น่าเข้า ควรเก็บไว้พิจารณาเป็นอันดับต้นๆ
(จัดตามความชอบของแอดมินเอง 555+)

1. DomQuartier Salzburg***
เป็นไฮไลท์ของ Salzburg เลยค่ะ เป็นห้องต่างๆของ Residence , Gallery, Cathedral Museum and St. Peter’s Museum
แต่พวกเราพลาดไปค่ะ คือตอนแรกแลกบัตรเข้าไปปุ๊บ ก็เจอแต่พวก Gallery เดินซะเมื่อยเลย แต่หาทางไปพวก Residence โบสถ์ ที่สวยๆ หรูหรา อลังการแบบที่เห็นในรูปน่ะค่ะ ไม่เจอ ก็เลยขี้เกียจเดินแล้ว ออกดีกว่า สรุปว่า ที่นี่ไม่ได้ดูนะคะ แต่แนะนำให้เข้านะคะ ก็เขาว่าเป็นไฮไลท์นี่นะ
€ 12.00
2. Salzburg Residenz Palace – State Rooms***
เป็นห้องที่หรูหราอลังการแนวพระราชวัง เข้าที่เดียวกับ DomQuartier
อันนี้แหละที่หาทางเข้าไม่เจอ เลยไม่ได้ดูเลย
3. Salzburg Christmas Museum
เคยเข้าของที่ Heidelburg แล้ว เลยไม่ได้เข้าที่นี่ค่ะ
€ 6.00
4. Bible World – interactive centre
เกี่ยวกับศาสนา
€ 8.00
5. Mozart Sound and Film Collection
เป็นของสะสมพวกเอกสารภาพและเสียงของ W.A. Mozart.
ฟรี (ฟรีอยู่แล้ว จะมาบอกทำไมเนี่ย)
6. Toy Museum
พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตา ของเล่น เกมส์เด็กๆ
€ 4.50
7. Salzburg Museum
พิพิธภัณฑ์ประจำเมือง พวกประวัติศาสตร์
ได้เข้าค่ะ และคาดหวังกับที่นี่มาก แต่ไม่ชอบเลย น่าเบื่อ ไม่เข้าใจ
€ 8.50
8. Mönchsberg Lift***
เป็นลิฟท์ (เหมือนลิฟท์ห้าง) ขึ้นไปดูวิวเฉยๆ เห็น Hohensalzburg , Old town ชัดดีค่ะ
อันนี้ได้ขึ้น และแนะนำให้ขึ้นไปนะคะ คุ้มค่ะ จริงๆมีทางเดินขึ้นเนินด้วยนะ แต่ไกล เหนื่อย มี Salzburg card อยู่แล้วจะเหนื่อยทำไม
€ 3.60
9. Georg Trakl Memorial Center
เป็นประวัติ และที่ระลึกถึงบุคคลสำคัญคนนึง
ไม่รู้จักค่ะ ก็เลยไม่ได้เข้า
€ 4.00
10. Salzach Cruise***
ล่องเรือแม่น้ำ ใช้เวลา 40นาที ใช้ Salzburg card ได้เฉพาะ Tour I นะคะ
คนเยอะมาก ลำนึงประมาณ 120-130 คนน่าจะได้
ถ้าอยากเลือกที่นั่งติดหน้าต่าง ต้องมาต่อคิวล่วงหน้านานๆหน่อยนะคะ
และอย่าลืมมาจองรอบเรือก่อนแต่เนิ่นๆนานๆหน่อยค่ะ
ก็พอใช้ได้นะคะ แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ง่วงๆ จะหลับมากกว่า เพราะนั่งตรงกลางติดทางเดิน มองไม่ค่อยเห็นอะไรมาก นอกจากก้นกัปตัน หันไปทางไหนก็เจอหน้าคน จะลุกเดิน หรือยืน ก็น่าจะเสียมารยาท จะมัวแต่ถ่ายก็มีสายตา(ฝรั่ง)มอง ถ่ายมุมไหนก็ติดหน้าคน(เขาจะด่าเอา) ยิ่งชอบล้อเลียนคนเอเชียอยู่ว่าสะพายกล้องถ่ายตลอดทาง ที่นั่งซ้าย6 ขวา6 มีประมาณสิบกว่าแถว นึกภาพดูแล้วกัน
ช่วงสุดท้ายจะมีเหวี่ยงเรือให้หมุนปิดท้ายด้วยนะคะ วันรุ่งขึ้นพวกเราย้อนกลับมาดูเรือหมุนอีกทีด้วยค่ะ
อันนี้ไม่ถึงกับแนะนำ แต่ถ้าใครชอบก็ขึ้นได้ค่ะ
รอบเรือต้องเช็คมาก่อนให้ดีนะคะ จะได้ไม่เสียเวลา หน้าร้อนมาหลายรอบ หน้าหนาวมีน้อย ดูลิงค์นี้คลิกตรงOpening times https://www.salzburg.info/en/hotels-offers/guided-tours/salzburg-cruises#price-acc-detail-1
€ 15.00
11. Museum of Modern Art Salzburg Mönchsberg
พิพิธภัณฑ์ภาพสมัยใหม่ พอเราขึ้น Mönchsberg Lift มาปุ๊บก็จะเจอเลยค่ะ
แต่พวกเราไม่มีหัวด้านนี้ก็เลยไม่สนใจเข้าค่ะ
€ 8.00
12. Folklore Museum
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา
ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ พวกนิยาย ตำนาน เพลง สำนวนภาษิต คำพังเพย การละเล่น การแสดง เครื่องมือเครื่องใช้ อาหารการกิน ยาพื้นบ้าน ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรม
น่าสนใจดีนะคะ แต่คงไม่ค่อยรู้เรื่อง แถมไกลอีกต่างหาก ก็เลยไม่เข้าค่ะ
€ 3.00
13. Festival Halls
ฮอลล์จัดงานต่างๆ มีไกด์พาทัวร์เป็นรอบๆ วันละ 2-3 รอบ
€ 7.00
14. Cathedral Excavations
พิพิธภัณฑ์อยู่ใต้ดิน ประวัติศาสตร์ของวิหาร โบสถ์
€ 3.00
15. Salzburg Zoo***
อันนี้อยากไปนะคะ แต่คงใช้เวลามากเกินไป ก็เลยตัดใจไม่ไปค่ะ
€ 10.50
16. Cable Railway to the Fortress***
เป็นเคเบิ้ลคาร์ หรือ funicular ขึ้นไป Hohensalzburg fortress
ขึ้นอยู่แล้วอันนี้ แต่มันก็มีทางเดินขึ้นลงเนินด้วยนะ แต่จะเหนื่อยไปทำไมล่ะ
ขึ้น-ลง € 8.40
17. Hohensalzburg Fortress Museum***
เป็นพิพิธภัณฑ์ในป้อมยุคกลาง แสดงประวัติของป้อม เดินดูตามห้องต่างๆ
Hohen = High
จริงๆห้องไม่เยอะค่ะ ไม่ได้สวยหรูอลังการ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก (ก็ยุคกลาง หินๆนี่ค่ะ) แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตอนขึ้นไปที่สูงที่สุดค่ะ เป็นจุดสังเกตุการณ์ของป้อมปราการ ซึ่งเราจะเห็นวิวทั่วเมืองแบบ 360 องศาเลยค่ะ
แต่…ข้อเสียมีแค่อย่างเดียวคือ มันยืนได้แค่ไม่กี่สิบคนค่ะ แออัดยัดเหยียดเบียดกันไปหน่อย รีบถ่ายรีบไป slow life ไม่ได้เลย โดนดันตลอด แต่คุ้มค่ะ เราจะเห็นวิวที่สวยมากๆ คนสูงอายุเอาเก้าอี้ไปนั่งด้วยนะคะ(แหะๆ)
แล้วใส่เสื้ออุ่นๆหน่อยนะ เพราะแม้ว่าข้างนอกจะแดดแรงร้อน แต่ข้างในเป็นอาคารหิน ที่เย็นเหมือนตู้แช่เลย
€ 12.00 (รวมค่า funicular แล้ว)
18. Mozart’s Residence
เป็นที่อยู่ที่โมสาร์ทย้ายมาตอนโต เพราะหลังเดิมคับแคบเกินไป แสดงสิ่งของ เพลง และอื่นๆที่เกี่ยวกับโมสาร์ท
ได้เข้า่ชมนะคะ แต่พวกเราไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ก็เลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ออกแนวน่าเบื่อ เดินแบบผ่านๆ แต่เขามี audio guide ให้นะ แต่สรุปว่าไม่ชอบค่ะ แต่ไหนๆก็มี Salzburg card แล้ว จะเข้าไปโฉบก็ได้ค่ะ พวกเราใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที
€ 10.00 (ถ้าซื้อตั๋วเดี่ยว คงไม่คุ้มอย่างแรง)
19. Mozart’s Birthplace
ตึกแถวสีเหลือง ตรงทางสามแพร่ง เป็นบ้านเกิดของโมสาร์ท
บ้านของเขาไม่ใช่ทั้งตึกนะ พ่อแม่เขาไม่ได้รวยขนาดนั้น
แต่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานของโมสาร์ท ส่วนข้างล่างหน้าร้านเป็น “Supermarket”
ไม่มีที่อื่นให้เปิดแล้วรึไงนะ ทำลายความขลังหมดเลย
ที่นี่พวกเราคาดหวังว่าจะมีพวกเตียง ของใช้ หรือให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปในบ้านโมสาร์ท แต่…ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่ไม่อินกับโมสาร์ทมาก ก็เลยรู้สึกเบื่อๆ พวกเราเดินผ่านๆ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที
€ 10.00 (ถ้าซื้อตั๋วเดี่ยว คงไม่คุ้มอย่างแรง)
20. Hellbrunn Palace & Trick Fountains***
พระราชวังฤดูร้อน มีไกด์พาชมเป็นรอบๆ ทุกๆ 30 นาที มีลูกเล่นเยอะมากค่ะ ล้วนแต่เป็นน้ำพุ ชวนให้แขกที่มาเยือนเปียกพอเย็นๆ ไม่เปียกมากค่ะ
ตอนแรกไม่คิดจะมาเพราะกลัวเปียกเยอะแล้วหนาว แต่มาจริงๆก็ไม่ได้เปียกอะไรมากนะคะ เหมือนน้ำกระเซ็นเฉยๆ
สนุกดีค่ะที่นี่ เสียอย่างเดียว คนในทัวร์เยอะมากๆ ประมาณ 70 กว่าคนขึ้นไป (ส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีน)
ที่นี่ไม่มีให้เข้าห้องภายในนะคะ จะหวังดูห้องหรูหรา ไม่มีค่ะ Outdoor อย่างเดียวเลย
ที่นี่แนะนำให้มานะคะ แต่ทำใจเรื่องคนเยอะไว้ก่อนนะ
€ 12.50
21. Salzburg Open Air Museum***
ชอบที่นี่มากๆค่ะ เป็นบ้านในยุคศตวรรษที่16-20 ในภูมิภาค Salzburg ซึ่งถอนเอามาอนุรักษ์ไว้ที่เดียวกัน เป็นของจริงๆขนาดจริงๆนะคะ รู้สึกเหมือนเดินในหมู่บ้านจริงๆ แค่ไม่มีคนอาศัยอยู่จริงๆเท่านั้นเอง แนะนำให้ไปอย่างแรง
€ 11.00
22. Stiegl – World of Brewing
แสดงการผลิตเบียร์ ที่นี่อยู่ไกลตัวเมืองนิดนึงค่ะ มีเบียร์ให้ชิม
ที่นี่ก็น่าสนใจนะคะ แต่อาจต้องใช้เวลาซักหน่อย พวกเราเลยไม่ได้ไปค่ะ
€ 11.50
23. Cable-Car Untersberg***
กระเช้าขึ้นเขาชมวิว
ที่นี่เป็นที่ที่พวกเราคาดหวังมากค่ะ เพราะเป็นกระเช้าที่เดียวของทริปนี้ แต่พอเดินทางไปถึงปุ๊บ มันปิดปรับปรุงค่ะ นั่งเศร้าอยู่ตรงนั้นตั้งนาน ฮือๆ…
ที่นี่แนะนำเลยค่ะ แต่อาจนั่งรถไปไกลหน่อยนะคะ(ไม่หน่อยล่ะ เกือบถึงชายแดนเยอรมนีแน่ะ) แต่คุ้มนะ
ขึ้น-ลง € 23.00 (ดูราคาสิ น่าไปมั้ยล่ะ)
24. Museum of Modern Art Rupertinum
เดิมเป็นโรงเรียนสอนศาสนา ปัจจุบันเป็นที่จัดแสดงภาพศิลปะ
€ 6.00
25. Museum of Natural History and Technology***
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ และเทคโนโลยี มีอควาเรียมเล็กๆด้วย เหมือนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ 4 ชั้น 2 ตึก (จะเยอะไปไหน)
ที่นี่เป็นที่ที่คาดไม่ถึงจริงๆ เพราะตอนแรกไม่คิดจะมาเลยค่ะ เพราะมีความรู้สึกว่า เรามายุโรป ก็ต้องดูอะไรที่มันยุโรปสินะ
แต่พอดีว่าเดินผ่านพอดี และเวลาเหลือนิดนึง 35 นาที กะว่าจะโฉบเข้าไปดูซะหน่อย พอเข้าไปปุ๊บ รู้สึกอิึ้ง…ทึ่งมากเลยค่ะ มันเยอะมาก และทำดีด้วยนะ แถมมีสองตึก
อควาเรียมมีแต่ปลาหน้าตาแปลกๆ ทุกส่วนจัดแสดงดีมากๆ ดีกว่าที่ญี่ปุ่นอีก คือสามารถอยู่ที่นี่ทั้งวันยังได้เลยนะคะ มันน่าดูไปหมดเลย
(ถ้าจะอยู่ทั้งวันไม่ต้องซื้อ Salzburg card นะ ค่าเข้าถูกมาก)
เห็นแล้วก็อิจฉาเด็กที่นี่จริงๆ ครึ่งชั่วโมงในการวิ่งชะโงก จนถึงวินาทีสุดท้ายที่เขาประกาศไล่นั่นแหละ
€ 8.00
26. Panorama Museum
พิพิธภัณฑ์ภาพพาโนรามา ออกแนวศิลปะ ภาพถ่ายต่างๆ
ที่นี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้านะคะ แต่จบจาก Salzburg museum ปุ๊บ มันก็มีป้ายชี้ไป Panorama Museum ก็เลยเดินไป แต่พอไปถึง ไม่มีพนักงานเลยค่ะ ใช้ Card แสกนแล้วก็ไม่ผ่าน ไม่มีคนเลย ก็เลยไม่ได้เข้าค่ะ
€ 10.00
Salzburg card ซื้อดีมั้ย คุ้มมั้ย
– คุ้มหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเที่ยวของแต่ละคนค่ะ
– ถ้าคิดจะเที่ยวไม่กี่ที่ แค่เดินดูเมืองเฉยๆ หรือเข้าพิพิธภัณฑ์แล้วกะอยู่นาน
– หรือมีเวลาเที่ยวแค่วันเดียว แบบนี้ไม่ต้องซื้อหรอกค่ะ “เปลือง”
– ถ้าเข้าแค่บางที่ก็เช็คราคาตั๋วก่อน เพราะบางที่ก็ไม่ได้แพง
– สถานที่ในเมืองเดินถึงกันได้ค่ะ ไม่ต้องนั่งบัสก็ได้ หรือถ้านั่งบัสในเมืองก็แค่ไม่กี่ยูโร
– แต่ถ้าคิดจะเข้าสถานที่เด่นๆบางที่ ก็ต้องคำนวนค่าเข้าว่าคุ้มกับค่า Salzburg card มั้ย เช่น ที่เขียนสัญลักษณ์ดอกจัน(***)ไว้ ได้แก่
- DomQuartier Salzburg + Salzburg Residenz Palace € 12
- Mönchsberg Lift € 3.6
- Salzach Cruise € 15.00
- Salzburg Zoo € 10.50
- Cable Railway to the Fortress € 8.40
- Hohensalzburg Fortress Museum € 12.00
- Hellbrunn Palace & Trick Fountains € 12.50
- Salzburg Open Air Museum € 11.00
- Cable-Car Untersberg € 23.00
- Museum of Natural History and Technology € 8.00
ถ้ามีเวลาวันเดียว ซื้อ Salzburg card 24 ชั่วโมง
– เช้าไป Hellbrunn Palace & Trick Fountains € 12.50
ค่ารถบัสไป-กลับ น่าจะประมาณ 10-15 ยูโร
– เที่ยงไป DomQuartier Salzbur + Salzburg Residenz Palace € 12
– เย็นไป Funicular + Hohensalzburg Fortress Museum € 12
– รวม 46-52 ยูโร แต่ค่า Salzburg card แค่ 24 – 27 ยูโร (เห็นมั้ยว่าคุ้มมาก)
ถ้ามีเวลา 2-3 วัน ซื้อ Salzburg card 48-72 ชั่วโมง
แบบนี้ไม่ต้องคำนวนค่ะ มันเกินราคาอยู่แล้ว
รีวิวเที่ยว Salzburg
เอาล่ะส่วนของข้อมูลการเที่ยวเมืองซาลซ์เบิร์กที่ควรทราบก็หมดแล้ว ต่อไปจะจะเข้าเรื่องรีวิวสถานที่ที่พวกเราไปมากันจริงๆซักทีนะคะ

Salzburg Thursday Market
พวกเรานั่งบัสจากโรงแรมมาลงที่ Mirabelplatz ซึ่งเป็นจุดที่จะต่อรถไป Open-air museum แต่โชคดีมากเลยวันนี้มีตลาดนัดใหญ่โต มีของขายเต็มไปหมด ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ตลาดนี้ชื่อ Tuursday market มีทุกวันพฤหัส หน้าโบสถ์ St. Andra ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับ Mirabel palace

Mirabell Palace
ระหว่างรอเวลาบัส พวกเรามาเดินเล่นในสวนของ Mirabell palace กันก่อนค่ะ ที่นี่เป็นที่ทำการของรัฐบาลนะคะ เข้าได้ฟรีเฉพาะห้องโถง Marble Hall และ Marble Staircase
ไม่มีขายตั๋วใดๆนะคะ

แต่ที่ที่นักท่องเที่ยวไปชมกันก็คือ Mirabell garden จะจัดสวนสวยมาก ใหญ่โต กว้างขวาง เป็นฉากหนึ่งของหนัก The Sound of Music ทัวร์ก็เลยมาลงเยอะค่ะ
ก่อตั้งโดย Prince-archbushop Wolf Dietrich von Raitenau ตั้งแต่ปี 1606 เพื่อรำลึกถึง Salome Alt (น่าจะเป็นคนรัก) ดั้งเดิมพระราชวังแห่งนี้ชื่อ Schloss Altenau แต่มาเปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น Mirabell
Mirabell เป็นชื่อของผู้หญิงอิตาลี เป็นคำเชื่อมของ คำว่า Mirabiles (Admirable)(น่าชื่นชม) + Bella (beautiful)
Salzburg open-air museum
ได้เวลาบัสพวกเราจึงนั่งบัสสาย 180 ไป Salzburg open-air museum กันต่อ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่พวกเราขอยกให้เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจเป็นอันดับต้นๆเลยค่ะ ไปดูกันว่ามันดียังไง

การเดินทางไป Salzburg Open-Air Museum
พวกเรานั่ง Postbus สาย 180 หน้า Mirabell palace เดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง
เวลาถามคนขับ หรือถามคนท้องถิ่น ให้ใช้คำว่า “Freilichtmuseum” อ่านว่า เฟรลิคท์มิวเซียม เพราะถ้าพูด Open-air museum เขาจะงงๆ และไม่รู้จักนะคะ
จากนั้นลงป้ายชื่อ Großgmain Freilichtmuseum
ตัว ß สามารถเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยตัว SS เป็น Grossgmain ก็ได้ แต่ที่ออสเตรียจะเขียน Großgmain แบบนี้
บนบัสจะมีหน้าจอบอกสถานีถัดไป ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ลงถูกที่แน่นอน
แต่ไอ้เราก็ว่าลงถูกแล้วนะ แต่พอลงรถมาปุ๊บ ทำไมมันเหมือนโดนปล่อยกลางทุ่งยังไงไม่รู้นะ มองไม่เห็นป้ายอะไรเลย แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ลงรถแล้วข้ามถนนไปอีกฝั่ง เดินตามถนนเล็กๆไปซัก 200-300 เมตร ก็ถึงทางเข้าแล้วค่ะ
เวลาทำการ Salzburg Open-Air Museum
(เรื่องนี้สำคัญนะคะ อย่าลืมตรวจสอบให้ดีจะได้ไม่เสียเที่ยวไปค่ะ)
19 มี.ค. – 30 มิ.ย. เปิดเฉพาะวันอังคาร – อาทิตย์ 9.00 น. – 18.00 น.
1 ก.ค. – 31 ส.ค. เปิดทุกวัน 9.00 น. – 18.00 น.
1 ก.ย. – 9 ต.ค. เปิดเฉพาะวันอังคาร – อาทิตย์ 9.00 น. – 18.00 น.
11 ต.ค. – 1 พ.ย. เปิดเฉพาะวันอังคาร – อาทิตย์ 9.00 น. – 17.00 น.
26 ธ.ค. – 8 ม.ค. เปิดทุกวัน 10.00 น. – 16.00 น.
ช่วงวันที่ 9 ม.ค. – 18 มี.ค. กับ 2 พ.ย. – 25 ธ.ค. คงจะปิดมั๊งนะ
(ว่าแต่…วันที่ 10 ต.ค. ไปไหนหว่า???)
ข้อมูลอื่นๆ
– ค่าเข้าชม คนละ 11 ยูโร
– ค่ารถสาย 180 จาก Salzburg เที่ยวละ 10 euro
– ใช้ Salburg card ขึ้นรถฟรี เข้าก็ฟรี
– เห็นในเวปบอกว่า วันเกิดเข้าฟรีด้วยนะ ไม่รู้จริงรึเปล่านะ

ที่ Salzburg open-air museum (Freilichtmuseum) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่นำบ้านจริงๆจากจังหวัดต่างๆในรัฐ Salzburg
ย้ำ…ว่าบ้านจริงๆ ที่เคยอยู่ตามที่ต่างๆ ในสถานที่จริงๆ นำมารวมไว้ในที่เดียว
ไม่ได้สร้างใหม่ ไม่ใช่ไม้ที่ตัดใหม่ ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นของเดิมๆ อาจมีบางอย่างที่เติมเข้ามาเพื่อตกแต่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะยังคงรูปแบบเดิม โดยเขาจะยกบ้านทั้งหลังมา อาจจะแยกส่วนมา แล้วเอามาประกอบใหม่
บ้านพวกนี้เป็นบ้านในยุคศตวรรษที่16-20 เป็นของชาวไร่ ชาวนา ร้านค้า โรงงานต่างๆ เช่น โรงตีเหล็ก โรงเลื่อยโรงม้า

และยังมีสถานีรถไฟเล็กๆ ที่มีรถไฟโบราณวิ่งจริงๆด้วย แต่วิ่งช้าๆให้ได้ชมวิว รถไฟเป็นไฮไลท์ที่ดึงดูดความสนใจได้เยอะเลยล่ะค่ะ



จังหวัดต่างๆในภูมิภาค Salzburg
คือต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า ชื่อ Salzburg เป็นชื่อรัฐ รัฐหนึ่งของประเทศออสเตรีย (ซึ่งมีทั้งหมด 9 รัฐ) รัฐ Salzburg ก็จะแบ่งเป็นภูมิภาค 5 ภูมิภาค ได้แก่ Flachgau , Tennengau , Pinzgau , Pongau , Lungau
รัฐ Salzburg เคยเป็นรัฐอิสระหนึ่งในยุค Holy Roman Empire ตั้งแต่ศตวรรษที่14 ต่อมาปี 1805 ชาวออสเตรียนก็บุกเข้ามายึด รัฐ Salzburg ที่เคยอยู่อย่างอิสระ เข้าไว้เป็นของตน แต่ไม่กี่ปีต่อมา ก็ตกไปอยู่ในมือของรัฐ Bavaria อีก
อีกไม่กี่ปีต่อมาอีก ในยุคนโปเลียน รัฐ Salzburg ก็ถูกแบ่งเป็นสองให้ Bavaria และ Austria ผ่านยุคสงครามโลก ก็ถูกดึงยื้อแย่งกันไปมา จนสุดท้าย ปี 1955 ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นรัฐหนึ่งของ Austria อย่างปัจจุบัน

สรุปความประทับใจที่ Salzburg Open-Air Museum
– สถานที่เที่ยวแบบนี้มันขึ้นอยู่กับคนชอบนะคะ ถ้าชอบสไตล์นี้ ก็จะชอบมากๆ แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบสไตล์นี้ ก็อาจจะรู้สึกบ้านนอก ไม่ตื่นเต้น

– สำหรับแอดมินให้เต็ม10/10 เลยค่ะ เพราะใจจริงอยากดูบ้านพวกนี้อยู่แล้ว ซึ่งตอนแรกอ๊อบไม่ได้ใส่ลงในโปรแกรมเที่ยวนะคะ เพราะเห็นว่ามันไกล น่าจะใช้เวลาไป-กลับนาน แต่พอเรามาเห็น ดูข้อมูลแล้ว บอกเลยยังไงก็ต้องไป

– พวกเราใช้ Salzburg card ค่าเข้าก็ฟรี นั่งรถก็ฟรี ยิ่งต้องไป
– แต่…ถ้าต้องเสียค่ารถไป-กลับ รวม 20 ยูโร ค่าเข้าชมอีก 11 ยูโร คงจะดูทุ่มทุนไปหน่อยค่ะ
– ช่วงที่พวกเราไป ไม่มีเทศกาล ไม่มีอีเวนท์อะไรนะคะ คนน้อยมาก อย่างกับหมู่บ้านร้าง หลอนๆดี (แต่เราชอบคนน้อยๆ)
– แต่ถ้าใครไปช่วงที่เขามีอีเวนท์ ท่าทางน่าจะสนุกนะ อาจมีอะไรที่พิเศษขึ้นมาหน่่อย

– ถ้าอยากดูให้ทั่วทั้งหมด ควรเผื่อเวลาในการเดินดู ประมาณ 4 ชม. ถ้ารวมเวลาไป-กลับด้วยก็ 5 ชม. (สรุปว่าทั่งวันอ่ะ)
– ถ้าเดินดูผ่านๆ เร็วๆ นั่งรถไฟHeritage ทั้งไปและกลับ เดินดูเล็กๆน้อยๆ ก็น่าจะประมาณ 2 ชม. ถ้ารวมเวลาไป-กลับด้วยก็ 3 ชม.
– สำหรับพวกเราใช้เวลาเดินดูทั้งหมด 3 ชม. กว่าๆ รวมเวลาไปกลับแล้วก็ 4 ชม. (ครึ่งวันเลยนะ)

– คือมันมีอะไรให้ดูเยอะมากๆนะคะ รวมถึงเดินไปแต่ละจังหวัด ก็เมื่อยอยู่นะ

– อย่าลืมเตรียมของกินไปปิคนิคด้วยนะ ได้อารมณ์ดีมากๆเลยค่ะ
– เห็นวิวภูเขาสวยๆ ป่าของจริง บ้านของจริง เพียงแต่ไม่ได้มีคนอยู่ ไม่มีสัตว์ของจริงเท่านั้นเอง
กลับเข้าเมือง Salzburg
ขากลับก็นั่งบัสสายเดิมนะคะ Postbus 180 นั่งฝั่งเดียวกับฝั่ง Open-air museum เลยนะ ระหว่างนั่งรถกลับเดี๋ยวมาบิ้วท์อารมณ์เที่ยว Salzburg กันไปพลางๆก่อนนะ
ประเทศออสเตรีย แบ่งเป็น 9 รัฐ แล้ว Salzburg ก็คือหนึ่งในรัฐของประเทศออสเตรีย Salzburg ก็แบ่งเป็นภูมิภาคอีก 5 ภูมิภาค โดยที่มี Salzburg เป็นเมืองหลวง
คำว่า Salzburg แปลว่า Salt Fortress เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Baroque และขึ้นทะเบียนในมรดกโลกเมื่อปี 1997 แล้ว
พูดถึง Salzburg นึกถึงอะไร
ก็ต้องนึกถึงคนนี้เลยค่ะ Wolfgang Amadeus Mozart หรือเรารู้จักกันในชื่อ “Mozart” ที่เป็นนักดนตรีคลาสสิกระดับโลก มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่18
แต่ในปี 1965 มีหนังเรื่อง “The Sound of Music” ซึ่งมาถ่ายทำที่ Salzburg ซึ่งจะเห็นฉากสถานที่สำคัญๆหลายที่ โดยเฉพาะ Mirabell Palace โด่งดังมากในยุคนั้น แม้ปัจจุบันก็ยังเป็นที่รู้จักกันอยู่ กลายเป็นหนังอมตะคลาสสิกไปแล้ว
แต่ที่ติดหูมากก็คือ “เพลง” ยังจำได้ว่าได้ยินแม่ร้องให้ฟัง แถมยังสอนโน๊ตเปียโนแบบเด็กๆ (เป็นอยู่เพลงเดียวแหละ) จนจำได้แม่น ก็คือเพลง “Do Re Mi”
Doe, a deer, a female deerRay, a drop of golden sunMe, a name I call myselfFar, a long, long way to runSew, a needle pulling threadLa, a note to follow SewTea, a drink with jam and breadThat will bring us back to Do
เมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าจะได้มา Salzburg เลยนะ จริงๆไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่แม่ก็พูดถึงหนังที่ตัวเองเคยดูตอนสาวๆอยู่บ่อยๆ เพลงมันมันเพราะอย่างนั้น วิวสวยอย่างนี้ เล่าซ้ำๆจนเราโตนี่แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันคือที่ Salzburg
รู้สึกว่ามันไกลตัวมาก เป็นโลกที่ไกลเกินเอื้อมจริงๆ
แต่พอเราโตขึ้นมีกำลังทรัพย์พอไปได้ โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ ที่นั่นมันไม่ได้ไกลอย่างที่คิดแล้ว พอกำลังหาข้อมูลเที่ยวว่าจะไปที่ไหนดี ก็เห็นชื่อ Salzburg เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต
ก็ต้องไปสิคะ ยังไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวกันยังไงกับ The Sound of Music แต่พอหาข้อมูลไปเรื่อย ก็เห็นเขาพูดถึงหนังเรื่อง The Sound of Music
เราก็ “เอ๊ะ” เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนนะ ค้นหาใน google, youtube “โอ้ว…เพลงนี้นี่เอง” แล้วก็ …หาหนังเรื่องนี้มาดูค่ะ (คงไม่ต้องบอกนะว่าไปหามาจากไหน)
ที่ Salzburg ขายแผ่นดีวีดี แผ่นละสองสามพัน เห็นแล้วหัวใจจะวาย
ดูแล้วก็…ภาพแบบหนังสมัยก่อนนี่นะ แต่เพลงเพราะจริงๆ เห็นฉาก เห็นสถานที่ต่างๆ ก็งั้นๆ เพราะการถ่ายทำมันเป็นแบบเก่า บอกตรงๆว่า “ไม่อินหรอก” ไปถึงจริงๆแล้ว ก็ยังจำไม่ได้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน
แต่พอไปแล้วกลับมาดูนี่สิ “เฮ้ย…ที่นี่ไง” “นั่นมัน…” “อุ้ย…นี่ที่เราไปไง”

ไปจองรอบเรือ Salzach Cruise
พวกเรากลับมาถึง Salzburg ช่วงบ่าย2กว่าๆ แล้วต้องรีบไปจองรอบเรือก่อน ไม่งั้นเต็มแน่ๆ นี่ขนาดจองก่อนแล้วนะ ยังได้รอบสุดท้าย ฉะนั้นถ้าใครอยากนั่งเรือ อย่าลืมมาจองรอบเรือล่วงหน้านานๆนะคะ

และระหว่างที่ยังไม่ถึงเวลา พวกเราก็ไปเก็บสถานที่เที่ยวอื่นๆคือ Mozart’s Residence และ Mozart’s Birthplace ซึ่งอยู่ไม่ไกลค่ะ งั้นเดี๋ยวเราไปรู้จักกับ Mozart กันก่อนดีกว่าค่ะ

Wolfgang Amadeus Mozart
Mozart เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในด้านนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิก เป็นเด็กอัจฉริยะชาวออสเตรีย ทั้งชีวิตได้สร้างงานประพันธ์เพลงร่วม 700 ชิ้น
โมสาร์ท เป็นนามสกุลนะ

Mozart เกิดในวันที่ 27 มกราคม 1756 ที่ Hagennauer House บ้านเลขที่9 ถนน Getreidegasse อยู่กับครอบครัวที่มี พ่อ แม่ และพี่สาวอีกคน นักท่องเที่ยวรู้จักกันในชื่อ Mozart’s Birthplace
โดยมีพ่อเป็นชาวเยอรมัน (เป็นนักแต่งเพลงเหมือนกัน)
หลังจากที่พ่อแม่ของเขาอาศัยบ้านหลังนี้มา 9 ปี ก็ให้กำเนิดอัจฉริยะตัวน้อย บ้านนี้เป็นตึกแถวเล็กๆ พ่อเขาเช่าชั้น 3 กับชั้น 4 มีห้องนอน ห้องครัว ห้องทำงาน
แต่ไม่มีห้องน้ำ ต้องไปหิ้วน้ำมาจากข้างล่าง
จนกระทั่งปี 1773 โมสาร์ทอายุ 17 ปีแล้ว ก็ได้ย้ายออกไปอยู่ที่ Tanzmeisterhaus ที่จตุรัส Hannibalplatz นักท่องเที่ยวรู้จักกันในชื่อ Mozart’s Residence
ซึ่งไม่ได้ไกลจากที่เดิมซักเท่าไหร่ แค่ข้ามสะพานไปก็ถึงแล้วค่ะ
ตั้งแต่3ขวบ Mozart ก็ได้แสดงถึงทักษะการฟัง และความจำที่ยอดเยี่ยมมาก พอพ่อเขาเห็น ก็เลยสนับสนุนให้เรียนดนตรี พออายุ 6 ขวบ ก็แต่งเพลงเองได้แล้ว
Mozart เติบโตมากับการออกแสดงคอนเสิร์ตกับพ่อ พ่อสนับสนุนเขามาก ถึงกับลาพักงานโดยไม่รับเงินเดือน เพื่อพาลูกไปอิตาลี ตั้งหลายครั้งเพื่อเรียนรู้ด้านดนตรี
แต่พอบิชอป ซึ่งเป็นเจ้านายของพ่อ ได้เสียขีวิตไป บิชอปคนใหม่ ก็ไม่ดีเท่าคนเก่า โมสาร์ทที่มีอายุ 20 ปี ก็เลยออกเดินทางไปมิวนิค และที่อื่นๆแถบนั้น เพื่อหางาน แต่ก็หางานไม่ได้เลย แล้วยังไปติดผู้หญิงอีก พ่อก็เลยโกรธ แล้วเตือนว่า “ไม่ว่ายังไง ก็อย่าทิ้งอาชีพนักดนตรี”
ตอนนั้นโมสาร์ทมีหนี้สินล้นตัว เที่ยวหางานที่ปารีส และมาสุดที่เวียนนา และได้แต่งงานกับนักร้องสาว ซึ่งพ่อไม่เห็นด้วยเลย และโมสาร์ทก็มีลูกถึง 6 คน แต่รอดมาได้แค่ 2 คนเท่านั้น
โมสาร์ทเริ่มประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงขึ้นมา ในปี 1782 แต่เขาก็ไม่ค่อยทำเงินได้มากมายนักหรอก แถมยังชอบใช้ชีวิตที่หรูหราเกินเหตุ
โมสาร์ทมักจะมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอยู่บ่อยๆ และใช้ชีวิตบั้นปลายจนถึงปี 1786 ที่กรุงเวียนนา ในอพาร์ทเม้นท์หลังโบสถ์ St.Stephen
แต่การเสียชีวิตของโมสาร์ท เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ มีแต่บันทึกว่า เขาเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์ ในปี 1791 ด้วยวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น
สำหรับความรู้สึกในการเข้าชม ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองที่ คือทั้งบ้านเก่า และบ้านใหม่ พวกเรายังไม่ค่อยอินซักเท่าไหร่เลยค่ะ ค่อนข้างน่าเบื่อหน่อยๆ

ได้เวลาล่องเรือ Salzach Cruise
หลังจากเข้าชมพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดโมสาร์ท และโมสาร์ทเรสซิเดนซ์แล้ว ก็ได้เวลากลับมาล่องเรือ Salzach Cruise ที่จองไว้ ล่องเรือนาน 40 นาที
ทัวร์นี้ก็ถือว่าพอใช้ได้นะคะ ถ้าพูดถึงการได้นั่งฟรีผ่าน Salzburg card แต่ถ้าจะเสียเงินมานั่งโดยตรงก็ดูจะไม่ค่อยคุ้มค่ะ เพราะไม่ค่อยเห็นวิวอะไรมากนัก คนก็เยอะค่ะ แต่ไกด์ก็พยายามเอ็นเตอร์เทนได้ดีค่ะ

Kapuzinerberg
ล่องเรือจบ กลับมาเดินในเมืองเล็กน้อย แล้วก็ขึ้นเขา Kapuzinerberg ที่อยู่ตรงข้ามกับ Fortress Hohensalzburg

เขานี้ไม่ได้มีที่เที่ยวอะไรเป็นหลักนะคะ แต่พวกเราอยากดูวิวสูงๆ ก็เลยลองเดินดู แต่พอเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายไปสุดที่ปลายเนินเขาฝั่งตรงข้ามซะเลย เป็นไง…บ้าพลังมั้ยล่ะ

เนินเขานี้แนะนำสำหรับคนชอบเดิน ชอบ Hiking ต้องมีแรงเดินซักหน่อยค่ะ จุดชมวิวสวยๆ คุ้มค่าเดินอยู่ค่ะ แต่ถ้าใครมีเวลาน้อย ก็ไม่ต้องนะคะ
ชื่อเนินเขาคาปูชิน มาจากการที่ มีสำนักสงฆ์นิกายย่อย “Capuchins” มาตั้งบนเขาลูกนี้
ส่วนชื่อนิกายคาปูชิน ก็มาจากภาษาอิตาเลียนว่า Cappuccio ซึ่งแปลว่า “ฮู้ด” เพราะพระนิกายนี้จะสวมเสื้อที่ติดหมวก
ปราสาทบนยอดเขา Kapuzinerberg แต่ตอนนี้เป็นภัตาคาร หันซ้ายก็จะเห็นวิวบน Kapuzinerberg แบบนี้ (ขึ้นมานึกว่าจะได้เห็นวิวเมืองเก่า ที่ไหนได้เป็นเมืองฝั่งตรงข้ามกับเมืองเก่า)
จากนั้นก็หมดแรง กลับโรงแรมกัน จบวันแรกที่ Salzburg ค่ะ

Cable-Car Untersberg
เช้าวันที่สองที่ซาลซ์เบิร์ก พวกเรามุ่งหน้าไปที่ Cable-Car Untersberg ซึ่งเป็นเคเบิ้ลคาร์ที่เดียวของทริปนี้ เดินทางด้วยบัสสาย 25 ลงสุดสาย
ลั้นลาตื่นเต้นจะได้ขึ้นภูเขาน้ำแข็ง แต่พอไปถึง เขาแปะหน้าประตูว่า “ปิด” เข่าแทบทรุด ยืนไม่อยู่ ฮือๆๆ

Hellbrunn Palace & Trick Fountains
พวกเราตัดสินใจไปต่อกันที่พระราชวังเฮลล์บรุนน์ ทีแรกก็ไม่ได้คิดจะมาเพราะกลัวเปียก อากาศก็หนาว แต่ไหนๆก็ผ่านแล้ว ก็นั่งบัสสาย 25 สายเดิมแวะซักหน่อย

ปรากฏว่าที่นี่น่าประทับใจพอควรเลยนะคะ สนุกดี ไม่ได้มีให้เข้าชมห้องหับอะไรเหมือนวังอื่นๆ แต่ให้ชมแค่สวนที่มีทริ๊กต่างๆโดยเฉพาะ น้ำพุ ที่เอาไว้แกล้งแขกที่มาเยี่ยมเยียน เพราะวังนี้เป็นวังฤดูร้อน อากาศร้อน ก็เลยเล่นยิงน้ำใส่ซะเลย

แล้วเรื่องเปียกก็ไม่ต้องกลัวนะคะ ไม่เปียกค่ะ อาจโดยละออกน้ำบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่มีบางคนที่อาจโดนไกด์แกล้งยิงน้ำใส่ไม่กี่คนค่ะ

กลับเข้า Salzburg
หลังจากจบจาก Hellbrunn Palace พวกเราก็รีบวิ่ง ….ใช่ค่ะ….วิ่งนะ เพื่อจะได้ทันรถบัสสาย 25 ตามรอบเวลาที่ดูมา จะได้ไม่เสียเวลารอ เพราะอย่าลืมว่า รอบรถมีน้อยนะคะ ชอบยุโรปก็ตรงนี้แหละ ถึงรถจะน้อย แต่เขามาเป็นเวลา

Hohensalzburg Fortress
พอถึง Salzburg พวกเราก็ไปต่อกันที่ Hohensalzburg Fortress เป็นป้อมปราการบนเนินเขาสูงๆ ซึ่งมี Cable car รับส่งให้ฟรีด้วยนะสำหรับคนถือ Salzburg card

แต่ป้อมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อป้องกันฆ่าศึกศัตรูอะไรหรอกค่ะ แล้วสร้างมาเพื่ออะไรมาอ่านต่อค่ะ

เนื่องจากเมื่อก่อนเมืองนี้ถูกปกครองโดยพระ ที่ชาวเมืองเรียกว่า Prince Archbishop ถือว่าเป็นพระที่ร่ำรวยทั้งอำนาจ และ เงินอย่างมาก เงินส่วนใหญ่ที่ได้มา ก็มาจากการให้เช่าที่ดิน การรับบริจาค และเหมืองเกลือที่ขุดไม่มีวันหมด (แถมยังไม่ต้องเสียภาษี) ก็เลยเป็นการสั่งสมความไม่พอใจของประชาชน
ต่อมา ช่วงที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่าง สันตะปาปา กับจักรพรรดิ และ Prince Archbishop ของ Salzburg ก็ได้เลือกเข้าข้างสันตะปาปา
และก็ย่อมมีความแตกต่างทางความคิดของประชาชน บวกกับความไม่พอใจในผู้นำอยู่แล้ว ก็เลยเกิดการต่อต้านขึ้น ทำให้ Prince Archbishop ต้องหลบไปอยู่บนเนินเขา Mönchsberg

เกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆเข้า ก็ Prince Archbishop ก็เลยสร้างป้อม และปราสาทบนนั้นซะเลย ปัจจุบันถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Salzburg ไปแล้ว ป้อมนั้นชื่อว่า “Hohensalzburg Fortress”
ที่นี่แนะนำให้เข้านะคะ ข้างในเป็นปราสาทหิน ไม่ได้มีห้องนอนอะไรเหมือนวัง แต่ที่พีคที่สุดคือ จุดชมวิวบนยอดค่ะ มันเห็นทุกอย่างจริงๆ อย่าพลาดนะคะ

DomQuartier Salzburg , Salzburg Residenz Palace
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปต่อกันที่ DomQuartier Salzburg และ Salzburg Residenz Palace ซึ่งตรงนั้นเป็นอาณาเขตที่ใหญ่มากคะ มีพิพิธภัณฑ์หลายที่ แต่ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องเข้าก็คือ Salzburg Residenz Palace
แต่ๆๆๆ…พวกเราหาทางเข้าไม่เจอค่ะ เราก็เดินทางป้ายไปแล้วนะ ไปเจอ Art Gallery คืออะไรไม่เข้าใจ เรามาทำไมที่นี่ เดินหาไปเรื่อยๆจนรำคาญ วุ้ย…ซับซ้อนซะจริง ไปที่อื่นดีกว่า แหะๆ…สรุปคือไม่ได้เข้าค่ะ
Salzburg Museum
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ Salzburg Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำเมืองซาลซ์เบิร์ก ซึ่งก็คาดหวังไว้เยอะ แต่พอไปจริง ไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ค่ะ มีน้อย และไม่ค่อยรู้เรื่อง
ที่อื่นๆ
ติดๆกันเป็น Panorama Museum แต่เข้าไม่ได้ค่ะ ตอนนั้นปิดอยู่ ก็อดไปอีก
จากนั้นก็มานั่งชมเรือหมุนของ Salzach Cruise นักพักขา และกินอะไรไปพลางๆ

กะว่าจะพอกันแค่นี้ เดินเล่นในเมืองอีกนิดหน่อย แต่พอเดินผ่าน Museum of Natural History and Technology เหลือเวลาอีก 30 นาที ก่อนเวลาปิด ก็ขอเข้าไปโฉบซักหน่อย
แต่พอเข้าไปปุ๊บ โอ้ว…โหว ใหญ่มาก เยอะมาก มี2ตึก ดูไม่หมดแน่ๆ แถมแต่ละโซนก็น่าสนใจมากๆ เดินจ้ำอย่างรวดเร็วจนเขาประกาศจะได้เวลาปิดแล้ว
สรุปว่าที่นี่ก็น่าสนใจค่ะ น่าประทับใจ ค่าเข้าก็ไม่แพงด้วย แค่ 8 ยูโร ใช้ Salzburg card เข้าฟรีได้ค่ะ

ที่สุดท้ายที่เราจะใช้ Salzburg card คือ Mönchsberg Lift เป็นลิฟท์ขึ้นไปร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ แต่พวกเรามาดูวิวเฉยๆค่ะ เห็น Hohensalzburg และ Old town ชัดดีค่ะ


สรุปความประทับใจเมือง Salzburg
1. เป็นเมืองที่น่าประทับใจ น่าเที่ยว อยู่เที่ยวได้หลายวัน ชอบมากค่ะ
2. ที่เที่ยวในเมืองสามารถเดินถึงกันได้หมด ไม่จำเป็นต้องขึ้นบัส ยกเว้นออกนอกเมือง
3. ถ้าใครชอบเข้าสถานที่ แนะนำให้ซื้อ Salzburg card เข้าแค่ 3 ที่หลักๆ ก็คุ้มแล้วค่ะ
4. ถ้าใครอยากเดินในเมืองเฉยๆ หรือเข้าสถานที่แค่1-2ที่ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ Salzburg card นะคะ




สรุปตั๋วที่ใช้เที่ยว Salzburg
1. บัส 840 จาก Berchtesgaden คนละ 5.7 ยูโร
2. Salzburg card 32 ยูโร (สำหรับ 2 คน)
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ