โตเกียว7
29 มีนาคม 2556 วันที่ห้าของการเดินทาง
คัปปะซูชิที่ Ueno
วันนี้เราออกจากโรงแรม 10 โมงกว่าๆ ถือว่าสายมาก
แต่เพราะเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่อยู่ปักกิ่ง จนดิสนี่ย์
แทบจะยังไม่ได้พักผ่อนให้เต็มอิ่มเท่าไหร่
วันนี้เลยเป็นวันสบายๆ ไม่รีบร้อนมาก
โปรแกรมวันนี้ถือว่า เป็นไฮไลท์ของสามีเราเลยก็ว่าได้
เพราะเคยดูในคลิปของคุณ บิหรุซัง ที่พาชิมอาหารญี่ปุ่น ซูชิจานเวียน
แล้วเราก็เลยไปค้นหาชื่อร้าน คัปปะซูชิ จนได้สาขาที่ใกล้ที่สุดคือ ย่านอุเอโนะ
แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นตามแบบฉบับคนขี้หลงอย่างเรา
และจะเป็น คัปปะจานเวียน แบบที่คิดหรือไม่ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ในคลิป เขาก็ไม่ได้ให้ไปอุเอโนะหรอก แต่ซูชิจานเวียนที่เขารีวิว
มันไกลจากรถไฟฟ้า เรากลัวจะหลง ซูชิจานเวียนที่คุณบิหรุซังรีวิวนั้น
เป็นร้านที่น่าไปมาก มีหลายสาขา มีอาหารหลากหลาย รวมถึงของหวานด้วย
และที่สำคัญคือ มันราคาขั้นต่ำ 105 เยน เท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าถูกมาก
เราตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปกิน อย่างน้อย 3-4 รอบ
ศึกษาอย่างดี เปิดกูเกิลแมพ เสิร์ชคัปปะซูชิ ปริ๊นแผนที่
เพราะมันเป็นเควสอันดับต้นๆของเรา ที่จะต้องมาลองของให้ได้
ว่าจะต่างจากโออิชิที่กินกันบ่อยๆหรือไม่
เราเดินตามแผนที่ แต่วิชาการดูแผนที่ของเราแย่มาก
แผนที่แทบจะไม่ได้ช่วยให้เร็วขึ้นสักเท่าไหร่ หลงทิศทางเป็นชั่วโมง
เกือบจะถอดใจ ไม่กินก็ได้วะ เพราะระหว่างทางก็เห็นร้านโน้น ร้านนี้ก็น่ากิน
แล้วก็มีซูชิจานเวียนเหมือนกัน แต่ขั้นต่ำ 126 เยน
จริงๆ มันก็ต่างกันแค่ 21 เยน มานึกย้อนหลังแล้ว เจ็บใจตัวเอง
ที่เสียเวลาหาร้านนั้นอยู่ได้ เหนื่อยก็เหนื่อย เท้าที่ปวดก็ยิ่งปวดกว่าเดิม
เดินกระโผลกกระเผลงไปเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอก
ว่ามันเหมือนเป็นเควสในเกมส์ ที่ต้องทำให้สำเร็จ
จนมาตั้งต้นใหม่ที่สถานีรถไฟฟ้า แล้วลงไปดูแผนที่ แล้วเอาใหม่
เดินหาอยู่อีกนานมากๆ แต่คนเดินจริงๆคือสามี ส่วนเรายืนรอค่ะ
เพราะเท้าไม่ไหวแล้ว รู้ทางเมื่อไหร่ค่อยเดินกลับมาเรียกละกัน
ร้านอาหารในญี่ปุ่นนี่เยอะเอามากๆ เยอะกว่าที่คิดอีก
ร้านอาหารก็เป็นรูปแบบโบราณ ได้อารมณ์แบบญี่ปุ่นโบราณเอามากๆ
หรือเขาอาจไม่ได้แต่งให้เหมือนโบราณหรอก
ร้านเขาอาจจะโบราณอยู่แล้วไง แต่ราคานี่ไม่โบราณเลยนะ
ถ้าใครไม่ได้ห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายมาก ก็เข้าได้เยอะเลย
แต่เรายังต้องจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย เป็นปณิธานสำหรับทริปนี้
ร้านขายของตามท้องถนนก็เยอะมาก ไม่เหมือนที่ไทย
อะไรๆก็ต้องเข้าห้าง ซื้อในห้าง ร้านค้าเล็ก SME หายกันหมด
อยู่ไม่ได้ สู้ห้างใหญ่ไม่ไหว
ที่เจอแทบทุกที่เลยคือ ร้านปาจิงโกะ Slot อะไรพวกนี้
เราจะเรียกว่าเป็น คาสิโนญี่ปุ่น ก็ไม่ผิดเลย
เด็กๆวัยรุ่น ก็เห็นเข้ากันเยอะแยะ แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ชายชุดดำ
เราอยากลองเข้าไปดูว่ามันเล่นกันยังไง แต่พอเข้าไป
ก็ไม่ได้มีคนตรวจอะไรเลยนะ เหมือนตู้เกมส์
แต่เดินเข้าไปได้ 2 ก้าว เรามองหน้ากันโดยไม่ต้องมีคำพูดออกมา
แล้วหันหลังกลับ เหมือนนัดแนะกันไว้ เดินออกมาทันที
เพราะกลิ่นบุหรี่ฉุนมาก อึดอัดตั้งแต่วินาทีแรกที่สูด
ถ้าอยู่นานกว่านี้คงขาดใจตายแน่ๆ เลยไม่ได้ดูเลยว่าเขาเล่นอะไรกัน
จนเดิน(หลง)เลยไปที่ตลาด Ameyoko ,sakura street เดินจนปวดเท้า
ก็เจอร้านขายรองเท้า น่าจะเป็นร้านขายของที่ทำจากจีนแหล่ะ
เพราะถูก แค่ 980 เยน ก็เลยยืนเลือกอยู่ตั้งนาน แต่ไม่เห็นมีใครลองใส่สักคน
สงสัยเขาไม่ให้ลองหรือป่าว เราก็ถามเขาว่า ลองใส่ดูได้มั้ย เขาก็โอเคนะ
เลยได้มาคนละคู่ ใส่เลย คู่เก่าก็ปลดประจำการไป หาถังขยะทิ้ง
จริงๆก็เสียดายรองเท้าคู่เก่าอยู่เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้ขาดอะไรหรอก
แต่ขี้เกียจถือ ใส่คู่ใหม่แล้ว เดินคล่องขึ้นเยอะ เท้าที่ปวดก็ไม่ค่อยปวดแล้ว
เลยเข้าใจว่าไอ้ที่ปวดน่ะ เป็นเพราะรองเท้าเราไม่ดีเอง ไม่ใช่ว่าเราสังขารไม่ให้หรอก
เลยตั้งใจไว้เลยว่า ไปเที่ยวครั้งหน้าจะซื้อคู่ดีๆ เป็นพันก็ยอม
ขอให้ใส่ดีจริงๆเหอะ แม่จะทุ่มทุนสร้างกับรองเท้าคู่เดียวนี่แหล่ะ
เพราะเห็นความจำเป็นถึงที่สุด กับการท่องเที่ยวด้วยตัวเองจริงๆ
ถ้ารองเท้าไม่ดี เดินไปเจ็บไป เที่ยวก็ไม่สนุก ขาดทุนเวลาเสียอีก
เจอร้านขายขนม 210 เยน อีกแล้ว ร้านนี้ชอบมาก
เพราะมี ซะกุระโมจิ กับโมจิชาเขียว อร่อยและถูกด้วย
เจอร้านขายสตรอเบอร์รี่ ที่ขายถูกมาก 3 แพค 800 เยน
ก็ประมาณ แพคละ 88 บาท ก็ถือว่าถูกมาก พอเราจะเอา 3 แพค
คนขายพยายามยัดเยียด 6 แพค 1500 เยน เราสะดุดกึกด้วยความงก
เราก็บอกว่า 1200 เยนได้มั้ย (มาต่างเมืองยังอุตส่าห์ต่ออีก) เขาว่าไม่ได้
เราก็บอกงั้นไม่เอา เขาก็บอกว่า 1400 เยนละกัน เราก็บอกไม่เอา
ถ้า 1200 เอา เขาก็จับใส่ถุงให้ เป็น 6 แพค
เราให้แบ็งค์ 1000 ไปสองใบ เขาดันทอนมา 700 เยน
เราก็บอกว่า 1200 เยน ต้องทอน 800 ไม่ใช่หรอ เข้าทำหน้าเบ้
บอกไม่ได้จริงๆ เราขี้เกียจเถียงกับเขาแล้ว ก็เลยเดินๆออกมา ก็ลองแกะกินดู
โอ้วโห… มันช่างเป็นสตรอเบอร์รี่ที่หวานจับใจ อย่างที่ไม่เคยกินมาก่อนเลย
เพราะเคยกินแต่สตรอเบอร์รี่เปรี้ยวๆที่ไทย โลละ 200
ลูกเล็กๆ มีสีขาวๆ บ่งบอกถึงความเปรี้ยว แต่ก็ยังอร่อย
พอมากินที่ญี่ปุ่น ขนาดสตรอเบอร์รี่แบบถูก ยังอร่อยเยี่ยงนี้
ถ้าแพงๆจะขนาดไหน ก็ไม่ได้ลองหรอก เพราะแค่ 6 แพค ที่ซื้อมานี่
กินกันวันละแพค กว่าจะหมด ก็จะกลับอยู่แล้ว
อีกอย่างถือไปถือมาทั้งวัน กว่าจะถึงโรงแรมตอนดึก ก็เละหมด แต่ก็กินได้
และในที่สุด ความพยายามของเราก็สำเร็จ มาเจอร้านชื่อ คัปปะซูชิ นั้นจนได้
สามีอ่านตัว ฮิรางานะได้ ก็เลยมั่นใจว่าใช่แน่ๆ มันอ่านว่าคัปปะจริงๆ
แต่มันมี 2 ร้าน หันหน้าตรงข้ามกันพอดี ทั้งป้าย ทั้งสี
ทุกๆอย่างเหมือนกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน
2 ร้าน ที่หันหน้าเข้าหากัน มันเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
แล้วเราจะเข้าร้านไหนดี
ร้านนึงมีคนต่อคิวเพียบ อีกร้านนึง มีแต่คนที่ใส่ชุดพ่อครัวแบบญี่ปุ่น ยืนหน้าดุๆอยู่หน้าร้าน
เราก็เลยเข้าร้านที่ไม่มีคนยืนรอนั่นแหละ กำลังจะก้าวเท้าเข้าไป
ลุงหน้าดุๆ ก็เอามือขวางไว้ แล้วรอยยิ้มน่ารักก็แย้มออกมา
แล้วชี้ไปที่แถวยาวๆนั้น พูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็เข้าใจในภาษากายด้วยดี
ขณะต่อแถว ก็เห็นป้ายราคาติดอยู่หน้าร้านด้วย
ราคาขั้นต่ำ 105 เยน จริงๆด้วยนะ ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
เพราะกลัวเข้าไปแล้วกระเป๋าฉีกออกมา
แต่มีคนมารอต่อคิวเยอะแบบนี้ ก็คงอร่อย และไม่แพงเป็นแน่
ยืนรอประมาณ 15 นาที ก็ได้เข้า
คือสรุปว่าทั้ง 2 ร้าน ก็คือร้านเดียวกันแหละ ต่อแถวไป
พอคนร้านไหนออก ที่ไหนว่าง เจ้าของร้านก็ชี้มือให้เข้าร้านนั้น
ในที่สุดก็ได้เข้าร้าน แต่ภาพที่ปรากฏต่อหน้า มันไม่เหมือนที่รีวิวอ่ะดิ
มันเหมือนร้านในหนังเลย แบบว่าต้นตำรับสุดๆ คือเป็นเคาร์เตอร์นั่งติดพ่อครัว
ในร้านมีพ่อครัวปั้นซูชิ อยู่ 2ฝั่ง ฝั่งละ 4 คน
โดยประมาณว่า มือปั้นซูชิ 1 คน ต่อลูกค้า 5คน
เราถึงกับใจฝ่อหน่อยๆ เพราะกลัวทำอะไรไม่เป็น กลัวสั่งไม่รู้เรื่อง เพราะรูปก็ไม่มี
ภาษาอังกฤษก็ไม่มี เรานั่งด้วยความเอ๋อ มองซ้ายมองขวาเขากินอะไร
ไม่นานก็มีคนเอาเมนูที่มีรูป และราคามาให้ เราถึงกับยิ้มออก อย่างนี้ค่อยโล่งหน่อย
ดูเมนูจากรูปแล้ว ราคา 105 เยน น่ะมีแค่ 5 เมนูเท่านั้นเอง
แบบหน้าพื้นฐาน ถ้าดูจากรูป แถวบนสุด จากซ้ายไปขวา นับ 1 – 5 นั่นแหล่ะ ที่ 105 เยน
ส่วนอันถัดๆไปก็จะเป็น 158 เยน 210 เยน 315 เยน ไปจนถึง 400กว่าเยน
เราดูๆแล้ว ก็จิ้มตามรูปสั่งเอา มือปั้นก็เอาใบไม้อะไรไม่รู้ มาวางข้างหน้าแทนจาน
เหมือนใบอะไรซักอย่างที่เห็นในหนัง ที่เค้าใช้ห่อข้าว แล้วเอาไปปิ้ง
เอาใบนั้นมาวางแทนที่รอง แต่ปลาเป็นก้อนๆ ในตู้ข้างหน้าเรา
มันเป็นวิวที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
เพราะมันวางอย่างกับ ก้อนเนื้อไร้ราคา วางโยนๆ ทับๆกัน
ดูแล้วก็ไม่ได้เป็นช่องเย็นอะไรนะ ทั้งก้อนไข่หวาน ทั้งปลาสีส้ม สีแดง สีอื่นๆ
ปลาหมึก และอีกเยอะแยะ วางทับๆกัน
แต่เห็นการปั้นของเขาทุกขั้นตอน ลีลาสุดยอด เหมือนในหนังเลย
ปั้นซูชิเสร็จ ก็เอามาวางบนใบไม้นั้นแหละ เราก็บิ้วท์อารมณ์ประมาณว่า เวลาเขาวางซูชิ มันจะต้องมีประกายแสงลอดมาจากซอกนิ้วมือ แล้วก็นึกว่าซูชิต้นตำรับ ข้าวจะไม่หลุดง่ายๆซะอีก
พอใช้ตะเกียบหนีบมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง เริ่มปริ
พอจิ้มโชยุเท่านั้นแหล่ะ เผละเลย ข้าวหกลงถ้วยโชยุหมด
อายแทบแย่ ชิ้นมันก็ใหญ่ด้วย กินคำเดียวไม่มีทางเอาเข้าปากหมดแน่ๆ
ก็ต้องค่อยๆกัดเอา ข้าวก็ล่วง คนข้างๆเริ่มหันมามอง
พ่อครัวที่ปั้นก็ชะงัก เฮ้ยไอ้บ้าสองคนนี้ กินทิ้งกินขว้าง ทำสกปรกหมด
เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นใส่ใหญ่ ไม่ไม่ได้โมโหว่าเราหรอกนะ
แต่ดูเหมือนรำคาญ ทำท่าทางจิ้มๆอะไรซักอย่าง
พูดไปทำท่าทางไป เราก็จะไปรู้เรื่องได้ไง
เขาก็เลยเอามือมันๆของเขาแหล่ะ
หยิบขิงที่อยู่ในโถข้างๆเรา ออกมากระจุกนึง แล้วจิ้มลงไปในถ้วยโชยุ
แล้วก็เอามาแปะพรมๆบนซูชิ แล้วทำท่าให้เราหนีบกินได้
ส่วนไอ้ขิง ที่เขาใช้มือหยิบนั่น ก็กองวางไว้ข้างๆซูชิแหละ
แหมมาบ้านเมืองเขา ก็ต้องไม่เรื่องมาก จะทำเป็นกระแดะ รังเกียจนู่นนี่ไม่ได้
ไอ้ซูชิที่เรากิน ก็เกิดมาจากมือมันๆของเขาแหล่ะ
เราจึงกินด้วยความเอร็ดอร่อย ด้วยการเอาเข้าปาก เริ่มแตะที่ลิ้น
แล้วก็ทำตาโต อมยิ้ม แล้วแสดงถึงความอร่อยขั้นสุดยอด
เคี้ยวๆไป แทบจะละลายในปาก บวกความเว่อร์เข้าไว้
แล้วพูดว่า อื้มม…โออิชิเน๊ะ มันก็อร่อยจริงๆนะ
เนื้อปลางี้หนาปึ้กเลย หนากว่าโออิชิบ้านเราตั้งแยะ
ข้าวก้อนนิดเดียว แต่เนื้อปลาเต็มๆล้นๆ
พ่อครัวยิ้มแย้ม หันไปคุยกับลูกค้าคนอื่นๆ แล้วชี้มาทางเรา
ลูกค้าที่คุยด้วยก็หันมา คุยจิ๊จ๊ะอะไรกันก็ไม่รู้ หัวเราะคิกคักด้วย
แล้วพ่อครัวก็หันมาทางเรา แล้วถามว่า Where are you come from?
เราก็บอก Thailand เขาก็รู้จักไทยแลนด์ด้วยนะ แล้วก็หันไปคิกคัก
กับลูกค้ากลุ่มนั้นต่อ คุยไป ก็หันมามองหน้าพวกเราทีนึง เราก็มองกลับด้วยรอยยิ้ม
แล้วก็บอกว่า อย่าให้เจอที่ไทยบ้างนะ จะนินทาให้อายเลย
พูดเป็นภาษาไทย ก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอก แหะๆ
พอมาเช็คบิล จ่ายตังค์ เอ๊ะ…ทำไมราคามันถูกกว่าที่คิด
เพราะกินไปประมาณ 10 ชุด (ชุดละ 2 ชิ้น) แต่จ่ายไปแค่ 892 เยนเอง
เราเลยคิดว่าพ่อครัวนั่นแหล่ะ มัวแต่เม้าท์นินทาเราอยู่นั่นแหละ
จนลืมจดสิ่งที่เรากินไปน่าจะ 2เมนู เพราะเวลาเราสั่ง เขาก็จะติ๊กว่าเราสั่งอะไร
แล้วพอคิดเงินก็เอาใบนั้น ให้เราไปยื่นจ่ายตังค์
เราก็ไม่ได้คิดว่าจะโกงอะไรหรอก คิดจะเข้าไปท้วงว่าทำไมมันถูกกว่าที่คิด คุณลืมเมนูอะไรรึป่าว
แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ภาษาอังกฤษเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องมาก
เราก็พูดงญี่ปุ่นไม่ได้เลย อังกฤษก็งูๆปลาๆ ก็เลยขอบคุณ และขอโทษในใจไป
แล้วสัญญา(ในใจ) ว่าจะมาโปรโมทร้านคุณให้ละกัน
เอ้า… ใครหลงเข้ามาเวปนี้ ก็ไปกินกันที่นี่เถอะนะคะ
มันได้อารมณ์จริงๆ ถ้ามีโอกาสไปอีก เราก็จะไปกินอีกเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ