โตเกียว17
6 เมษายน 2556 วันที่สิบสาม กลับบ้านแล้ว
ค้างสนามบินฮาเนดะ – ต่อเครื่องที่ปักกิ่ง – ถึงสุวรรณภูมิ
ขอเล่าท้าวความย้อนไปเมื่อคืนอีกที ในคืนวันที่ 5 เมษายน
ก่อนไปรับกระเป๋าตอน 4 ทุ่ม ที่ฝากไว้ที่โรงแรม
และต้องคืนบัตร passmo ก่อนด้วย
ทีแรกคิดว่า คืนที่เครื่องขายตั๋วได้ แต่กลายเป็นว่า ต้องไปคืนที่ห้องสำนักงาน
เข้าไปก็ได้กลิ่นบุหรี่ตบหน้าเต็มๆ ยังกะอยู่ในคาสิโน คุยจนรู้เรื่องว่ามาคืนบัตร
เขาก็ให้กรอกแบบฟอร์มอะไรไม่รู้ เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด
ไม่มีภาษาอังกฤษแม้แต่ตัวเดียว เราก็เอ๋อสิ ก็บอกเขาว่าอ่านไม่ออก
เขาก็บอกว่าให้เขียน ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ตรงนี้ แล้วก็ชี้ๆ ไปหลายจุด
ย้ำว่าหลายจุดเลยนะ จะจำได้มั้ยล่ะ
เฮ้ย… จะเอาที่อยู่ไปทำม่าย เราก็งง แล้วก็บอกให้เข้าใจตรงกันว่า
แค่จะมาคืนบัตร Passmo เราจะได้คืนเงิน 500 เยนใช่มั้ย
ห่วงอยู่เรื่องเดียวแหละ คือจะได้เงินคืนมั้ย
เขาก็บอก ไฮ่ๆ..รู้แล้วๆ คุณกรอกแบบฟอร์มก่อน
เอ้า…กรอกก็กรอก เขียนชื่อ ที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษไป
ด้วยความสงสัยว่า จะเอาไปทำไร ไม่รู้กรอกช่องไหนด้วย ก็เขียนๆไปงั้นๆ
ในบัตรมีเงินเหลือประมาณ 500 เยน จริงๆเขาต้องหักค่าบัตรไป 210 เยน
แต่เขาคืนเรามาทั้ง 500 เยนเลย มี 2 ใบ ก็ได้เหรียญ 500 มา 2 เหรียญ ไม่หักเลย
สงสัยลืมแหง๋ๆ เพราะมันดึก แล้วก็มีกลิ่นเหล้าด้วย จะท้วงก็ไม่รู้จะพูดยังไง
รีบด้วยก็เลยรีบไป ไม่ได้ตั้งใจโกงนะ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง หรือเขาอาจจะทำถูกแล้วก็ได้นะ
รีบจ้ำด้วยเท้าที่ยังเจ็บ ตั้งแต่วันแรกยันวันกลับ แต่ก็ยังหลงทางจนได้
จะกลับอยู่แล้วนะเนี่ยะ หลงไปหลงมาในรถไฟใต้ดิน
แต่ก็ถึงสนามบินฮาเนดะจนได้ หิวมาก
นั่งกินของที่ซื้อมาจากย่าน Sugamo เป็นอาหารก่อนนอน
ใช่แล้ว…อ่านไม่ผิดหรอก กินก่อนนอน ไม่ใช่ก่อนกลับ
เพราะคืนนี้เราจะนอนที่สนามบินกัน จะเช่าโรงแรมทำไมให้เปลือง
เวลานี้ก็ 5 ทุ่มแล้ว เครื่องออก 8 โมง ถ้าเช่าโรงแรม
กระหืดกระหอบมาอาจไม่ทันก็ได้ (จริงๆงกแหละ)
แปรงฟัน ล้างหน้า เปลี่ยนชุดเรียบร้อย หาที่สิงสถิตเรียบร้อย ก็ได้เวลานอน
อยากจะบอกเพื่อนๆที่ไม่เคยนอนสนามบินนะว่า
พวกเราสองคนทดลองนอนสนามบินมาหลายที่แล้ว
คือนอนทุกที่ที่เคยไปเลย ถ้าได้อ่าน รีวิวฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย
ขอคอนเฟิร์ม ฟันธง กล้าการันตี บอกได้เลยว่า ไม่เคยมีที่ไหน
นอนได้สบาย เหมือนที่ญี่ปุ่นมาก่อนเลย อากาศก็อุ่นสบาย
ไม่เหมือนที่ปักกิ่งที่นอนตอนขามาญี่ปุ่น(ไม่ยอมเปิดฮีตเตอร์ หนาวเจียนตายมาแล้ว)
แถมเก้าอี้ก็ยังเป็นเก้าอี้ที่ไม่มีที่ท้าวแขนให้เกะกะ เหมือนจงใจให้เป็นที่นอน
ที่เรียงต่อกันแบบนอนสบาย ก้นไม่ตกหลุมด้วย
ที่สำคัญมันมีเก้าอี้แบบนี้วางอยู่ทั่วทุกจุด ทั้งจุดอับ จุดโล่ง
มีให้เลือกหลายโลเคชั่นด้วยแหน่ะ กลางคืน ก็เงียบสงบ
อากาศอุ่นสบาย หลับสนิทเลย แต่ต้องผลัดกันหลับ
เพื่อระแวดระวังให้กัน แหม…ยังกับอยู่ในป่า
ที่สนามบินฮาเนดะ ห้องน้ำสะอาดมากที่สุด สามารถนอนในห้องน้ำยังได้เลย
คิดดูแล้วกันว่าสะอาดถึงขนาดไม่ต้องใช้กลิ่นหอมๆกลบเลย
คือไม่มีกลิ่นอะไรเลยแม้แต่กลิ่นน้ำหอม ปกติจะท้องผูกเวลาเดินทาง
เพราะไม่อยากนั่งนาน แต่มาญี่ปุ่น กินง่ายถ่ายคล่องเลย
เพราะห้องน้ำมันน่านอน เอ้ย…น่านั่งมาก
ห้องน้ำผู้หญิง มีโถให้เลือกด้วยนะ ว่าจะนั่งแบบเก้าอี้ หรือนั่งแบบยองๆ แบบจีน
มีที่นั่งเด็กทารกด้วย เผื่อเวลาคุณแม่ทำธุระ จะได้มีที่นั่งให้ทารกนั่งดู
เอ้ย..นั่งรอ ไม่ต้องอุ้ม ที่เปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ต้องพูดถึง สุดหรูเลย
ส่วนห้องผู้ชายก็มีโถสูงของผู้ใหญ่ โถเตี้ยของเด็กๆด้วย เอาใจกันเข้าไป
ห้องน้ำ มีทั้งห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม เชื่อมั้ยว่าอย่างกับ Nursery เลยทีเดียว
มีที่ชงนมเด็ก มีเครื่องทำน้ำร้อน มีที่นั่งสบายๆ
ส่วนห้องน้ำสำหรับคนที่ใช้รถเข็น ดูแล้วอย่างกับห้องฉุกเฉิน มีที่จับ
มีเตียงนอนซะด้วยนะ มีฝักบัวด้วยแน่ะ แถมปุ่มอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
แล้วไม่ใช่ห้องเล็กๆ ทำแบบขอไปทีนะ ห้องใหญ่เท่าโรงแรมที่พักเราอีกอ่ะ
สุดยอดจริงๆอ่ะ
ห้องสูบบุหรี่โดยเฉพาะก็มีนะ หรูเชียว อยากเรียกว่าห้องอบบุหรี่มากกว่า
ดีนะ อยากสูบก็สูบกันเข้าไป พ่นกันเอง ดมกันเองแล้วกัน
เค้าก็คงมีที่ดูดกลิ่น ดูดควันแหละ ไม่งั้นควันก็ฟุ้งออกมานอกห้องอยู่ดี
ดาดฟ้าด้านบน ยังมีจุดชมวิว ดูเครื่องบินซะด้วย
นั่งเล่น นั่งกิน นั่งชมบรรยากาศสบายๆ ฟรีๆ และที่ประทับใจสุดๆคือ
เขาทำลูกกรงกั้น แต่ยังอุตส่าห์ทำช่องไว้ให้นักท่องเที่ยว
ลอดกล้องไปถ่ายรูปเครื่องบินได้ โดยไม่ติดลูกกรงด้วย
อะไรจะคิดลึกขนาดนั้น เอาใจกันจริงๆอ่ะ รักญี่ปุ่นที่ซู้ดด..
แต่ทว่า เหตุการณ์ที่จำไม่มีวันลืมเลย กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อตื่นเช้ามา ยังชมกันไม่ขาดปาก อีฉันนี่แหละ…
กำลังหยิบปากกาจากกระเป๋า มาจดนู่นจดนี่ ปากกาต้นเหตุด้ามนั้นล่วงหล่นลงพื้น
สามีจึงเอื้อมมือผ่านช่องแคบของเก้าอี้ไปหยิบ แหมวิญญาณสุภาพบุรุษเข้าสิงรึใงไม่รู้
แต่ปรากฏว่าเอื้อมไม่ถึง เลยต้องยื่นไปสุดแขน เหยียดนิ้วชี้กับนิ้วกลาง
เพื่อคีบปากกาด้ามนั้นขึ้นมา จริงๆก็แค่ก้มลงหยิบใต้เก้าอี้ก็จบกันแล้ว
แต่ด้วยความขี้เกียจลุก นึกว่าแขนยาวเป็นแม่นาค เลยเอื้อมไปด้านหลังแทน
ใช้นิ้วสองนิ้วเหมือนตะเกียบ คีบแตะถึงปากกาได้ กำลังดึงแขนกลับมา
สามีค้างท่านั้นอยู่แล้วก็บอกว่า ฮึ๊ย…ดึงไม่ออกอ่ะ ติดๆๆ
เราก็นึกว่าเล่นมุข ไม่ได้สนใจอะไร แถมเร่งให้เอาขึ้นมาเร็วๆอีก
เขาก็บอกว่า ฮึ๊ย .. ติดจริงๆ ดึงไม่ขึึ้น
แขนถูกหนีบโดยร่องเก้าอี้ ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก
ตอนแรกสีหน้าก็เหมือนแกล้ง แต่พอผ่านไปเริ่มหน้าตาจริงจังแล้ว
ดูตกใจน่าดู เราก็ยังคิดในใจว่า อะไรกันช่องแค่นี้ ก็ดึงแขนขึ้นมาดิ
มันจะไปยากอะไร เขาก็บอกว่า ดึงแล้ว มันไม่ขึ้นจริงๆ มันเจ็บกระดูกด้วย
เราก็เอ๋อสิ… สตั๊นไปชั่วขณะ แล้วมองหน้าซีดๆของสามี
นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว เลยต้องเรียกสติกลับมา
แล้วช่วยค่อยๆเคลื่อนๆ ดันๆเนื้อออก ค่อยๆขยับ รีดเนื้อออกทีละนิด
แต่สามีก็ร้องอย่างเจ็บปวด เพราะเก้าอี้มันหนีบเข้ามา
จนเราไม่รู้จะทำยังไงดี ใจเริ่มเสียแล้ว
มือก็สั่น บอกตรงๆว่า ปัสสาวะจะราด
สามีเริ่มมีสีหน้าถอดสีมากขึ้น แขนเริ่มมีรอยแดง
และบวมกว่าเดิมอีก (คือแขนก็ใหญ่อยู่แล้ว)
เราคิดในใจว่าถ้าถึงที่สุดจริงๆ จะวิ่งไปเรียกใครก็ได้มาช่วย
คงจะเป็นเรื่องใหญ่น่าดู หรืออาจต้องตัดเก้าอี้ออก
เพราะเห็นคนญี่ปุ่นเค้าจริงจังเว่อร์ไปซะทุกเรื่องเลย
แล้วเรื่องใหญ่ๆแบบนี้ สงสัยเรียกหน่วยกู้ภัย แล้วพาไปโรงพยาบาลแหง๋ๆ
ตอนนั้นทำอะไรไ่ม่ถูกจริงๆ คิดแต่ว่าทำยังไงดีๆๆ พยายามทำใจให้เย็นลง
เราก็เห็นว่าสีหน้าสามีไม่ดีแล้ว ถ้าทำหน้าตกใจอีกคน
คนเจ็บก็ยิ่งใจหายเข้าไปใหญ่ ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร
มันเข้าได้ก็ต้องออกได้แน่ๆ ใจเย็นๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าตกใจ
อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แขนจะได้ไม่บวม (เพราะตอนนี้มันเริ่มแดงมากขึ้นแล้ว)
สัญญาว่าต้องช่วยให้มันออกได้แน่นอน ตอนนี้ต้องอย่าตกใจนะ
อย่าตกใจๆๆ (แต่เราน่ะใจเสียไปแล้ว) จริงๆพูดปลอบตัวเองมากกว่าแหล่ะ
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เลยบอกว่า ใจเย็นๆ เดี๋ยวมานะ
จะไปเอาน้ำสบู่มาลูบให้ เรารีบหยิบขวดน้ำกินที่ยังมีน้ำเหลืออยู่
แล้ววิ่งไปห้องน้ำ ใจยังสั่น ขาก็ยังสั่นอยู่
ถึงห้องน้ำ ที่อยู่ห่างประมาณแค่ 100 เมตร แต่ทำไมรู้สึกว่ามันไกลนักไม่รู้
เทน้ำในขวดมารองน้ำสบู่แทน ทั้งๆที่มือยังสั่นอยู่
แล้วก็รีบวิ่งกลับมา เอาน้ำสบู่มาลูบบริเวณที่ติด
ที่ตอนนี้เป็นรอยแดง และบวมขึ้นอีกแล้ว พอลูบเสร็จ
ก็ช่วยกันดึงอีก ก็ยังไม่ออก สามีร้องว่าเจ็บมาก
มันบีบกระดูก สีหน้าน่าสงสารมาก
เอาใหม่ ใส่สบู่ให้มากๆ น้ำเลอะพื้นไปหมด ก็ไม่สนใจแล้ว
ตกลงกันว่าเดี๋ยวเราจะแหวกเก้าอี้ออกสุดแรงเกิดเลยนะ
ทนเจ็บหน่อยนะ แล้วก็ใช้หัวเข่าดันเก้าอี้ให้ถ่างออก
มือข้างหนึ่งก็แหวกเก้าอี้เต็มแรง อีกมือที่เหลือก็ค่อยๆดันเนื้อ
กลัวเก้าอี้มันจะหักเหมือนกันนะ แต่ไม่สนใจแล้ววินาทีนั้น
หักก็ช่างมัน ดันเต็มที่ รับรู้ถึงสีหน้า ความเจ็บปวด
แต่ถึงเลือดจะออก เนื้อจะฉีก ก็ยังดีกว่าติดอยู่นาน
ไม่อย่างนั้น แขนอาจจะบวมจนออกไม่ได้จริงๆ
แล้วตัดสินใจพูดเป็นครั้งสุดท้าย ให้ทนเจ็บแป๊บนึง
อึดใจเดียวเท่านั้นนะ พร้อมนะ แล้วนับ หนึ่ง สอง สาม ย๊ากกกกส์…
ทั้งสองจึงใช้พลังสุดแรงเกิด วินาทีที่แขนเลื่อนหลุดออกมา
ดีใจจนบรรยายไม่ถูก เหมือนยกภูเขาฟูจิออกจากอกได้เลย
ระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ ความรู้สึกเหมือนมันนานมาก
แต่จริงๆแล้วแค่ไม่ถึง 15 นาทีเท่านั้นเอง
แต่ก็ไม่มีเวลามาปลอบกันมากนัก เพราะใกล้เวลาเช็คอินแล้ว
แต่ก็แปลกนะ ที่ขณะที่พวกเรากำลังชุลมุนอยู่นั้น
ไม่มีใครสังเกตุพวกเราเลยหรอ ว่าทำอะไร มันแปลกมากๆ
ไม่ใช่ไม่มีคนนะ มีคนนั่งอยู่ประปราย พนักงานต่างๆก็เดินไปเดินมา
ที่นี่เขาไม่มีญี่ปุ่นมุงหรอไง หรือเขานึกว่าเราเล่นพิเรนท์อะไรกัน
แต่ก็ดีแล้ว เพราะไม่อยากดังในแบบน่าอาย แล้วไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนออกจากบ้านให้ไหว้พระให้คุ้มครองก่อน (เกี่ยวมั้ยนี่)
สุดท้ายก่อนจะไปถึงสุวรรณภูมิ เราต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ปักกิ่งก่อน
แต่รอไม่นานเหมือนขามา รอแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น
สังเกตุบ้านเมืองจีนบริเวณนั้น ระหว่างเครื่องจะลงรันเวย์
พื้นที่สีเขียวก็มีเฉพาะที่นา แต่โทนสีดูเป็นสีน้ำตาล
รู้สึกแห้งแล้งมากๆ เลยนึกขึ้นได้ว่าก็นี่มันหน้าหนาวนี่นะ
แต่ที่แปลกตาคือ มันมีตึกสูงๆ คือสูงจริงๆ เรียกว่าป่าตึกก็ได้
อยู่ติดๆกับท้องนาเลย ตึกสูงมาก แบบมากระจุกอยู่ในบล็อค
เป็นหย่อมๆ รอบๆก็เป็นที่นาโล่ง เป็นภาพที่แปลกตามาก
ในเกมส์ซิมซิตี้ยังทำไม่ได้แบบนี้เลย แบบว่าตึกสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่กลางท้องนา
และแล้วก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ