โตเกียว14
3 เมษายน 2556 วันที่สิบของการเดินทาง
Hakone Area (Rainy Day Version)
เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ต้องตื่นตี 4 ครึ่ง ออกจากโรงแรมตอน 6 โมงเช้า
ไปถึงชินจุกุ 6.40 น. เพราะวันก่อน ได้จองตั๋ว Hakone Pass
(ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องจอง) ได้เวลา 7.28 น. เป็น Romance Car ซะด้วยนะ
แต่เนื่องจาก พวกเราไปถึงก่อนเวลานานมาก เลยไม่อยากรอ
เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ว่า เปลี่ยนเวลาได้มั้ย ปรากฏว่าเขาบอกว่าได้แฮะ
แต่เที่ยวที่เร็วที่สุดคือ 7.00 น. ณ เวลาที่ถามนั้น ก็เหลือบดูนาฬิกาแขวนผนังข้างหลังเจ้าหน้าที่
เข็มสั้นชี้เลข 6 เกือบเลข 7 เข็มยาวชี้เลข 7 หรือ 8 ก็ไม่รู้ คือเข็มวินาทีมันเดินไปครึ่งนึงแล้ว
เราก็เปรยว่า Oh!….About 3 minutes ประมาณว่ารถไฟจะออกแล้ว
จะทันมั้ยเนี่ย เขาก็บอกหน้าตาเฉยๆ ไม่ได้เร่งอะไรเลยว่า
No!… 2 minutes ต่างหาก ตอนนี้เหลือ 2 นาทีแล้ว
แหมพูดผิดไปนิดเดียวเอง ก็อุทานขึ้นมาแบบประมาณเท่านั้น
ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ญี่ปุ่นเขาเป๊ะเรื่องเวลามาก
รถไฟก็ออกตรงเวลาเป๊ะ ไม่มีเศษ 7.01 อะไรเลยนะ โชคดีที่อยู่ไม่ไกล
กระเผลกไปเรื่อยๆ ในเวลา 2 นาที แบบเฉีียดฉิว
ในบัตรมีที่นั่งระบุให้ ต้องนั่งตามนั้น
แต่กวาดสายตาดูแล้ว มันโล่งมาก ตู้ที่นั่งมีเราอยู่แค่ 2 คน
รถไฟ Romance Car ดูหรูหรากว่า SPACIA
แต่เสียดายที่…โอ้…ไม่นะ…ฝนตกหนักกว่าเมื่อวานอีก
ไม่เห็นวิวอะไรนอกหน้าต่างเลย เลยทำใจแล้วว่า อาจจะไม่ได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ
แต่ก็พยายามอ้อนวอนท้องฟ้า ให้ตกลงมาเยอะๆ ตกให้หมดเร็วๆ จะได้ฟ้าโปร่งซะที
นั่งกินขนมปังในรถไฟนั่นแหละเป็นมื้อเช้า
จนมาถึงสถานี Hakone Yumoto ตอน 9 โมง ฝนก็ยังตกอยู่
เดินออกไปชมวิว(ฝน)ที่สะพานข้ามแม่น้ำ ที่เขาว่าเป็นหิมะที่ละลายจากฟูจิลงมา
เดินสักพัก รู้สึกไม่มีอะไรแล้ว ก็ไปต่อขึ้นรถไฟ เพื่อขึ้นเขา
รถไฟแบบนี้ เห็นเขาเรียกว่า สวิช แบ๊ค
ตอนแรกไม่รู้ว่า มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Swiss back หรือเปล่า
เพราะประเทศสวิส เป็นผู้ออกแบบให้ หน้าตารถไฟก็คล้ายสวิส
หรือมาจากคำว่า Switch Back เพราะเป็นรถไฟ ที่เคลื่อนที่แบบซิกแซก
เพราะเป็นการขึ้นเขา ก็เลยต้องยึกยักๆ สับเป็นฟันปลาไต่ขึ้นเขาไป
แต่มารู้ตอนที่นั่งรถไฟนี่แหล่ะ เพราะได้ยินคนข้างๆ เขาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ
ว่ารถไฟนี้เขาเรียก Switch Back หรือ Railway Zig Zag
ส่วนตัวตู้รถไฟเรียก Swiss Train (แต่ญี่ปุ่นเรียก Hakone Tozan railway)
ตอนนั่งไปกลางทางก็สงสัยว่า แล้วคนที่ขึ้นกลางทาง เขาเสียเงินตอนไหน
เพราะชะโงกออกไปดู ไม่เห็นมีที่กั้น หรือ ที่ให้เสียบบัตรอะไรเลย
อันนี้ยังสงสัยอยู่ กะว่าถ้าไปรอบหน้า จะลองลงสถานีอื่นดูบ้าง
ซิกแซกไปมา จนมาถึง สถานี Gora ฝนก็ยังตก (แต่ยังพอมีหวัง อาจจะหยุดตกได้)
จึงไม่ได้ออกไปเดินเล่นนอกสถานีเลย ต่อแถวขึ้น cable car
จะเป็นคล้ายๆตู้รถไฟแหล่ะ แต่เอียงๆลาดขึ้นไปบนเขา
ที่นี่เป็นที่แรกที่เห็นฝรั่งเยอะที่สุด ประมาณ20 เปอร์เซ็นต์
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นคนญี่ปุ่นอยู่ดี
การออกแบบ สีสันของทุกพาหนะ เขาทำได้สวยมาก เหมือนอยู่ยุโรปเลย
นั่งลาดเอียงชันๆ ไปแป๊บเดียวก็ถึงสถานี Sounzan
ไปต่อที่ Ropeway เป็นกระเช้า เหมือนที่ Ngong Ping ที่ฮ่องกง
ค่า Ropeway แพงมาก แค่ขาไปอย่างเดียวนะ 1470 เยน
แต่เราใช้ Hakone Free Pass หลายคนเรียกบัตรเบ่ง ขึ้นลงไปไหนกี่รอบก็ได้
(แต่ในทางปฏิบัติ คงไม่มีใครขึ้นๆลงๆเล่นหรอกมั๊ง)
เป็นการขึ้นกระเช้าที่เสียดายเงินที่สุด เพราะมองไม่เห็นอะไรเลย
ฝนตกลงมาหนักกว่าเดิม ซัดเม็ดฝนมากระทบกระจกไม่ขาดสาย
มองออกไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหยดน้ำ
นั่งกระเช้าไปไปถึงสถานี Owakudani เป็นจุดที่ชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้
แต่มองไปทางไหน ก็เจอแต่ ลม กับฝน ยังไม่ทันออกไปข้างนอกเลย
ลม หรือจะเรียกว่าพายุจะดีกว่า ก็พัดโหมเข้าใส่จนร่มเจ๊งไปเลย
ทำยังไงล่ะทีนี้ ร่มก็เจ๊ง ถุงเท้าก็เปียก อากาศก็ยิ่งหนาว
แต่ไหนๆก็มาถึงแล้ว ก็ไปต่อตามโปรแกรมละกัน
เดินออกไปไม่ทันไร พายุก็โหมเข้ามาอีก จนแต่ละคนต้องวิ่งเข้าร้านขายของที่ระลึก
นึกในใจว่า มาทำอะไรกันที่นี่ มีแต่คนงานคล้ายๆเหมืองอะไรซักอย่าง
มีก่อสร้างเต็มไปหมด ไม่เห็นมีอะไรเลย
มองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าความสวยระดับโลกเลยนะ
ที่สำคัญคือ มันเหม็นเหมือนไ่ข่เน่า จริงๆด้วย ชวนกันกลับดีกว่า อยู่ไปก็ไม่เข้าท่าแน่ๆ
เรานั่ง Ropeway ไปลงสถานี Togendai-ko เพื่อไปขึ้น เรือโจรสลัด
(เห็นคนไทยเรียกกันแบบนั้นนะ)
เวลาเสิร์ชใช้คำว่า Hakone Sightseeing Cruise
ตามโปรแกรม จะล่องเรือไปตามทะเลสาบ Ashi อันสวยงาม ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ
แต่เบื้องหน้าที่เห็นคือ ลม พายุ ฝน และร่ม มองเห็นได้แค่ ฝั่งตรงข้ามรางๆแค่นั้น
ตอนอยู่บนเรือ รู้สึกถึงความหนาว ที่ไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อนเลย
มันยะเยือกไปถึงกระดูก ด้วยความงก ไหนๆก็มาแล้ว เสียเงินมาแล้ว
ออกไปชมวิวหน่อยดีกว่า ออกไปได้ไม่เกิน 5 วินาที
ต้องรีบผลุบเข้าไปในที่ร่ม ในเรือจะมีห้องมีกระจกกั้นความหนาว และลม
สรุปแล้ว นั่งเรือเหมือนไม่ได้นั่ง รู้สึกตัวอีกที ก็ถึงฝั่งแล้ว ที่สถานี Hakonemachi-ko
ลงไปก็จะเดินเล่นไปไหนก็ไม่ได้ เพราะฝนตกหนัก
ก็เลยต้องนั่งรถบัส กลับไปยังสถานี Odawara
เนื่องจากไม่ค่อยได้นั่งรถบัสเที่ยวไหน ในเมืองไทยเลย
พอมาเจอที่นี่สามีแทบจะอาเจียน หัวหมุน แต่เราเฉยๆไม่เห็นเป็นอะไรเลย
นั่งรถบัสนานมากๆ หลับแล้วหลับอีก ฝรั่งข้างๆ หลับกันคอพับเป็นแถว
อาจเป็นเพราะฝนตก กระจกไม่เปิด อากาศไม่ถ่ายเทด้วย
คิดถึงแล้วเพลีย รู้สึกหดหู่ เสียดายเวลา เสียดายเงิน
ไม่ได้ความสวยที่จินตนาการอะไรเอาไว้เลย เสียดายแบบสุดๆ
เพราะภูเขาไฟฟูจิ เขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์การมาญี่ปุ่นเลยสำหรับเรา
มาแล้วไม่ได้รูป คนเขาจะหาว่าไม่ได้มาจริง ความทรงจำดีๆก็ไม่มี
กลับมาถึงสถานี Odawara ประมาณ บ่าย2 ก็ไป ปราสาทโอดาวะระ กันต่อ
แต่ฝนเริ่มหยุดแล้ว เดินไปไกลพอสมควร มีป้ายบอกทางชัดเจน ไม่ต้องห่วง
ตัวปราสาทสวยมากๆ ไม่เล่าประวัติ เพราะหาอ่านเองได้ง่ายๆ
ภายในตัวปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นของสมัย โตกุกาวะ
ค่าเข้าชมคนละ 400 เยน ไม่สาธยายมาก
แต่บอกได้คำเดียว่า 120 บาท มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ชอบตรงที่ ได้เห็นของใช้ โบราณๆ ถ้าใครเป็นคนชอบดูหนังประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
มันจะอินมากเลย ที่ได้มาเห็นของจริง ด้านบนก็สามารถดูวิวทั่วเมืองได้ด้วย
ทัศนศึกษาที่ปราสาทนี้ เสร็จสิ้นตอน 15.30 น.
เราเห็นว่า ท้องฟ้าเริ่มโปร่งใส แดดเริ่มออก
อุบ๊ะ อะไรวะ จะกลับอยู่แล้ว ดันฟ้าใสเอาตอนนี้ สมองเริ่มคิดพิเรนท์
เฮ้ย…เราขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ไม่ใช่หรอ เราก็ย้อนกลับไปใหม่สิ
เริ่มตั้งแต่ต้นใหม่เลย ก็เลยมานั่งคำนวนเวลา
แล้วเดินไปถามเจ้าหน้าที่ เพื่อความชัวร์ ปรากฏว่าไปได้นะ แต่กระเช้าจะปิด 17.15 น.
หมายความว่า ไปถึงได้ แต่อาจกลับไม่ทันนะ
เราเลยต้องกลับมานั่งหน้างอ เหมือนเดิม
ความรู้สึกตอนนั้น มันเศร้ามากเลย คิดดูนะ กว่าจะได้มาญี่ปุ่น เตรียมตัวอย่างดี
ข้อมูลแน่นเอี้ยด ค่าตั๋วเครื่องบิน ลุ้นวีซ่า ค่าที่พัก ค่านู่นค่านี่ มันไม่ได้มากันได้บ่อยๆนะ
มาแล้วก็อยากเห็นสิ่งที่เรียกว่างดงามระดับโลก แต่พอมาถึงไม่ได้เห็น
มันเสียความรู้สึกมาก ไม่โทษใครหรอก แต่จะทำยังไงดี โปรแกรมวันอื่นก็มีที่อื่นๆอีก
มาถึงจุดความคิดตรงนี้ “โปรแกรมวันอื่นก็มีที่อื่นๆอีก” ปุ๊บ
เอ๊ะ… หรือว่าเราจะตัดโปรแกรมวันพรุ่งนี้ออก แล้วย้อนกลับมาที่นี่อีกทีวันพรุ่งนี้
เพราะ Hakone Free Pass มันใช้ได้ 2 วันนี่นา
แต่รถไฟที่นั่งไป-กลับ ชินจุกุ มันจะได้หลายรอบด้วยหรอเปล่าไม่รู้
คิดได้ดังนั้น ก็ไปถามเจ้าหน้าที่อีกที ปรากฏว่า ไม่ได้ตามคาด
ใช้ขึ้นพาหนะที่ Hakone Area เท่านั้น
แต่ไม่เป็นไร ยอมเสียค่ารถไฟ จากชินจุกุเพิ่มก็แล้วกัน
แต่หลังความโชคร้าย ก็ยังมีโชคดีอยู่ ที่เดินผ่านร้านขายตั๋วลดราคา
เขียนว่า Odakyu – Shinjuku 700 เยน จากปกติ 850 เยน
เราเลยรีบเข้าไปซื้อ แต่คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สื่อสารกันอยู่ตั้งนาน
เพราะเราต้องการถามให้แน่ใจว่า ใช้วันพรุ่งนี้ได้แน่นะ กลัวซื้อไปแล้วใช้ไม่ได้
สรุปแล้วลูกค้าที่มาซื้อ เขาก็ช่วยพูดให้ว่าใช้ได้แน่ เลยตัดสินใจซื้อ 2 ใบ ราคา 1360 เยน
ลดให้อีกแน่ะ ยิ่งทำให้ระแวงอีก ว่าจะใช้ได้จริงรึป่าว
เดี๋ยวพอเอาไปผ่านเครื่องแล้วไม่ได้ขึ้นมา เสียค่าโง่เลยนะ แต่ก็ซื้อมาแล้วนี่ ก็ต้องลองเสี่ยงดู
ได้ตั๋วลดราคา ก็ยิ้มกริ่ม หักล้างกับอารมณ์บูดก่อนหน้านี้ไปได้บ้าง
ตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ได้ตอดแต่ขนมปังเล็กๆน้อยๆ
ก็เลยหาอะไรกินกันที่ Odawara เป็นร้าน Sukiya
แต่ก่อนหน้าที่จะได้กินนี่ เดินวนตั้งนานหาร้านที่พอจ่ายได้
จึงมาลงเอยที่ร้าน sukiya (คล้ายๆ Yoshinoya) เพราะมันถูกดี
แล้วก็เสียเวลาเดินดูของที่ ซุปเปอร์มาเก็ตอีกเช่นเดิม
ส่วนขากลับ เรานั่งรถไฟธรรมดา ไม่ได้นั่ง Romance Car
กลับมาถึงชินจุกุ ปรากฏว่าได้เรื่องอีกแล้ว อะไรกันนักกันหนานะวันนี้
พอกำลังเสียบตั๋วจะออกจากสถานี ตั๋วมันดันกินเข้าไป ไม่ออกมา
เอาล่ะทีนี้ทำไงดี ต้องใช้ตั๋วนี้อีกทีพรุ่งนี้
เพราะเป็นตั๋วที่ขึ้นทั้ง swiss train ,cable car ,ropeway และรถบัสด้วย
แล้วทำไงล่ะทีนี้ ซื้อตั๋วไป Odawara พรุ่งนี้ ไปแล้วด้วย
เอาวะ… มันเป็นสิทธิของเรา ต้องรักษาสินะ จึงไปถามเจ้าหน้าที่ที่คุมสถานี
คิดคำถาม เอ่อ…อ่า… อยู่ตั้งนาน จะเรียบเรียงยังไงดี
เลยบอกว่า the machine not turn back my ticket
คิดในใจว่า พูดไปเหอะ ไม่ต้องสนแกรมม่งแกรมม่าแล้ว
ปรากฏว่า เขางง… เอ่อ ไม่รู้เรื่องหรอ
เอาใหม่ พูดช้าๆ แล้วทำท่าทำทาง ให้รู้ว่าเครื่องมันไม่คืนตั๋วอ่ะ แต่…ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่
เราก็เลยเล่นใบ้คำบอกว่า ticket แล้วทำท่าเสียบใส่เครื่อง แล้วทำท่ากากบาท
คราวนี้มีเพื่อนเขามาฟังด้วย แต่เราต้องอธิบายไปด้วย ว่าทำไมต้องขอตั๋วคืน
เพราะว่าพรุ่งนี้จะใช้ที่ Hakone อีก กว่าจะร้องอ๋ออ.. เล่นเอาเราใจหายวูบ นึกว่าจะไม่ได้คืนซะแล้ว
แล้วให้เราพาไป ว่าเครื่องไหนที่เราผ่านออกมา
แล้วเขาก็ใช้กุญแจไข ดึงกล่องที่เก็บตั๋วออกมา ข้างในมีตั๋วเยอะแยะไปหมด
แล้วก็ให้เราเลือกดูว่าอันไหนของเรา เราจะไปรู้ได้ไงว่าอันไหน
เราก็หยิบๆมา อันไหนก็ได้ที่มันเป็น Free pass
แหม …กว่าจะรู้เรื่องกัน เล่นเอาเหนื่อย และเสียวจะไม่ได้คืนด้วย
แต่ขอชื่นชมพนักงานญี่ปุ่น แบบสุดๆทะลุ 100 เลยคือ
ไม่มีการแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย ไม่ชักสีหน้า หรือไม่มีทำท่าหงุดหงิดเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่กลับทำท่ากระตือรือร้น ที่อยากจะช่วยเราเต็มที่ อย่างกับเราไปประสบภัยอะไรร้ายแรงมาแน่ะ
เห็นแล้วมันรู้สึกว่า ตัวลูกค้าเป็นพระเจ้า ทำอะไรก็ไม่ผิด พูดไม่รู้เรื่องเองก็ไม่ผิด
กลับมาจากญี่ปุ่นแล้ว เป็นเดือนๆ ก็ยังไม่ลืมการบริการดีๆแบบนั้น
หรือจะตลอดไปด้วย เพราะมันประทับอยู่ในหัวใจไปแล้วจริงๆ
สรุปค่ากินวันนี้
ข้าวปั้นแซลม่อน+ขนมปัง ที่ family mart 295 เยน
supermaket ที่ Odawara 1070 เยน
ร้านขนม 210 เยน 420 เยน
ค่าเข้าปราสาท Odawara คนละ200 400 เยน
ค่ากาแฟนม 150 เยน
ค่าข้าว ที่ sukiya ย่าน Odawara 1160 เยน
สวัสดีค่ะ GoNoGuide มีเป้าหมายที่จะให้ข้อมูลท่องเที่ยวและวีซ่า อย่างเต็มที่ในทุกเรื่องที่เรารู้ เพื่อนๆที่ต้องการสนับสนุนเรา สามารถทำได้ดังนี้
- เลือกบริการที่ต้องการสนับสนุนเรา
- GoNoGuide จะได้รับค่าคอมมิชชั่นเล็กๆน้อยๆ โดยที่เพื่อนๆไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม สำหรับลิงค์แนะนำโรงแรม เครื่องบิน และประกันต่างๆ
- กดติดตามช่อง Youtube และ Facebook GoNoGuide
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ